วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เครื่องสำอางมาจากไหน

เครื่องสำอาง เป็นสารที่ใช้เพิ่มเติมความสวยงามให้กับร่างกายมนุษย์ นอกเหนือจากอุปกรณ์รักษาความสะอาดโดยทั่วไป การใช้งานเครื่องสำอางมีใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก จำนวนบริษัทผลิตเครื่องสำอางในปัจจุบันมีเป็นจำนวนน้อยเปรียบเทียบกับธุรกิจชนิดอื่น โดยบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ มากกว่าระดับท้องถิ่น

>>>>>>>>>>>>>>>>>>จาก วิกิพีเดีย


กำเนิดเครื่องสำอาง
เท่าที่ปรากฎในโบราณคดี สันนิษฐานว่าคงมีการใช้เครื่องหอมในพิธีศาสนา สำหรับ บูชาพระเจ้าโดยการเผา ใช้น้ำมันพืชทาตัวหรือใช้อาบศพเพื่อไม่ให้เน่าเปื่อย มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันจากประเทศตะวันออก และใช้เครื่องหอมนี้ไม่ต่ำกว่า 5000 ปี เชื่อวาอียิปต์เป็นชาติแรกที่รู้จักศิลปะการตกแต่งและการใช้เครื่องสำอางและแพร่ไปถึงแลสซีเรีย บาบีโลน เปอร์เซียและกรีก เมื่อคราวที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกทัพเข้ายึดประเทศอียิปต์ ประเทศในยุโรปบางส่วน ตลอดจนถึงกรีก ทำให้ความรู้เรื่องเครื่องสำอางแพร่หลาย ศูนย์การของความเจริญอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย จนถึงสมัยจูเลียส ซีซาร์รบชนะกรีก ก็ได้รับศิลปวิทยาการต่างๆมาจากกรีก ศูนย์การของศิลปวิทยาการต่างๆได้ย้ายมาอยู่ที่กรุงโรม มีการอาบน้ำหอม ในระยะที่โรมันกำลังรุ่งเรือง ซีซาร์ได้ยกกองทัพไปตีอียิปต์ซึ่งมีพระนางคลีโอพัตราเป็นราชินี รู้จักวิธีการใช้ศิลปะการตกแต่งใบหน้าและร่างกาย ทำให้การใช้เครื่องสำอางเป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Galen บิดาแห่งเภสัชกรรม กายวิภาค อายุศาสตร์และปรัชญา ได้ประดิษฐ์coldcreamขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันอ่อนกำลังลง ประเทศที่นำหน้าเรื่องเครื่องสำอางคือฝรั่งเศส และมีสเปนเป็นคู่แข่ง

******************** ข้อมูลจาก mono2u.com

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นกำเนิดโทรศัพท์

โทรศัพท์ คือ ระบบโทรคมนาคมซึ่งใช้อุปกรณ์ทางไฟฟ้า เป็นเครื่องมือสื่อสารให้ติดต่อพูดถึงกันได้ในระยะไกลโดยใช้สายตัวนำโยงติดต่อถึงกัน และอาศัยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นหลักสำคัญ

ในประเทศไทยคำว่า "โทรศัพท์" ได้เริ่มรู้จักกันตั้งแต่รัชการที่ 5 ซึ่งโทรศัพท์ตรงกับภาษากรีก คำว่า Telephone โดย Tele แปลว่า ทางไกล และ Phone แปลว่า การสนทนา เมื่อแปลรวมกันแล้วก็หมายถึง การสนทนากันในระยะทางไกล ๆ หรือการส่งเสียงจากจุดหนึ่ง ไปยังจุดหนึ่งได้ตามต้องการโทรศัพท์ได้ถูกคิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2419 โดยนักประดิษฐ์ชื่อดังอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell)

ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์คนแรก คือ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander
Graham Bell) ชาวอเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2419 เขาได้นำหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ ชาวอังกฤษมาใช้ โดยพันลวดทองแดงที่มีฉนวนฉาบหุ้มไว้รอบแท่งแม่เหล็กหลาย ๆ รอบ ตรงปลายแท่งแม่เหล็กมีแผ่นเหล็กบาง ๆ วางไว้เกือบแตะปลายแม่เหล็ก อีกข้างหนึ่งของแผ่นเหล็กเป็นกระบอกปากแตรเล็ก ๆ สำหรับใช้พูด เมื่อพูดเข้าไปในกระบอกนี้จะทำให้แม่เหล็กสั่นไปมาก เนื่องจากแผ่นเหล็กนี้อยู่ใกล้ขั้วแม่เหล็กมากจึงทำให้สนามแม่เหล็กเปลี่ยนไปมา คล้ายๆ กับแม่เหล็กเคลื่อนไปมา การสั่นสะเทือนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าในขดลวด และกระแสไฟฟ้านี้จะถูกส่งไปยังเครื่องรับ

โทรศัพท์ในยุคแรกๆ นั้นไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นในอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม จนกระทั่งมีนักประดิษฐ์ และวิศวกรหลายคน ช่วยกันพัฒนาปรับปรุงระบบโทรศัพท์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัด คือ การพัฒนาโทรศัพท์แบบต่อสายเองอัตโนมัติ โดย สเตราเยอร์ (Almon B. Strower) ชาวอเมริกันเป็นผู้พัฒนาเมื่อปี พ.ศ. 2439 และในปี พ.ศ. 2443 ปูปิน ศาสตราจารย์วิชาฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกาได้ใส่ขดลวดเพิ่มค่า อินดัคแตนซ์ ทำให้คุณภาพของเสียงที่ได้ยินทางสายโทรศัพท์ดียิ่งขึ้น


******************* ข้อมูลจาก school.net.th

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผ้าไหมมาจากไหน

สันนิษฐาน ว่า จีน เป็นชาติแรกที่ค้นพบการสาวไหมออกจากรัง เมื่อประมาณ 4,700 ปีมาแล้ว โดยมีเรื่องเล่าขานกันต่างๆ นานา เรื่องที่แพร่หลายมากกล่าวว่า “เทพเจ้าแห่งไหม” (Godness of Sikworm) ได้ส่งเส้นใยไหมสีขาวเงินลงมาถวายจักรพรรดิฮวงตี่ (Huang Di) หรือจักรพรรดิเหลือง (Yellow Emperor) เพื่อร่วมฉลองในวโรกาสที่พระองค์มีชัยชนะเหนือข้าศึก ต่อมาเส้นใยไหมนั้นก็ถูกนำมาทอเป็นอาภรณ์อันงดงาม
ต้นกำเนิดผ้าไหม
รื่องกำเนิดผ้าไหม(จีน)นี้เป็นนิทานแห่ง มณฑล หังโจว ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่า

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ในหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่งในหังโจว ไม่มีใครเคยเห็นเธอผู้นี้มาก่อนเลยนอกจากเด็กหญิงน้อยๆคนหนึ่งนามว่า อาเจียว เมื่ออาเจียวอายุ ๙ ขวบ มารดาก็ทิ้งเธอไว้กับน้องชายวัย ๔ ขวบคนหนึ่ง อย่างเดียวดาย เพราะบิดาของเธอนั้น เมื่อภรรยาตายได้ไม่ทันไร ก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่มีจิตใจเดียวกับแม่เลี้ยงของ แม่เอื้อยในนิทาน เรื่องปลาบู่ทองของไทย

ดังนั้นในวันที่หนาวจัดวันหนึ่ง แม่เลี้ยงก็ใช้อาเจียวให้ออกไปหาหญ้าแห้งใส่ตะกร้ามาให้เต็ม สั่งว่าถ้าไม่ได้หญ้าเต็ม ตะกร้า ก็อย่าได้กลับบ้านเป็นอันขาด ถึงกลับมาก็จะไม่มีอะไรให้กิน อาเจียวก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับตะกร้า ซึ่งว่างเปล่าพอๆกับความว่างเปล่าในกระเพาะน้อยๆของเธอ เธอเที่ยวเดินหาเปะปะไปตามท้องทุ่ง ริมฝั่งแม่น้ำ ตลอดจนถึงยอดเขา ตั้งแต่เช้าจนเย็นก็หาหญ้าแห้งไม่ได้ เพราะว่าเป็นหน้าหนาวซึ่งหิมะจับจนแม้แต่ต้นไม้ก็แข็งทิ้งใบหมด

อาเจียวนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง น้ำตาไหลอาบหน้า แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แว่บเข้ามาสู่สมองของเด็กน้อย.....ถ้าเธอตายเสียได้เธอก็คงจะหนีพ้นไปจากความทุกข์ระทมเช่นที่เป็นอยู่.....เธอคิด แต่แล้วจู่ๆอาเจียวก็กลับนึกไปถึงแม่ นึกถึงแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องใบไม้ ดอกไม้ในเดือน มิถุนายน เสียงนกร้อง เธอกำลังเล่นกับน้องชายสนุกอยู่ตามริมน้ำโดยมีแม่ถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยหญ้าตัดใหม่ เดินตรงมาที่เธอกับน้องชายพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มละไม เมื่อเข้ามาใกล้ แม่บอกอาเจียวว่า “อย่าเพิ่งไปนอน เราไปเลี้ยงแกะกันก่อน”นึกมาถึงตอนนี้ พลันอาเจียวก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง “มีหญ้ามากมายอยู่ในถ้ำ มีหญ้ามากมายอยู่ในถ้ำ”

อาเจียวเงยหน้ามองฟ้า ระหว่างก้อนเมฆสีเทา ที่มองเห็นในขณะนั้น มีนกที่มีขนเหมือนสร้อยสีขาวรอบคอตัวหนึ่ง บินวนอยู่ เสียงที่เธอได้ยินนี้ดูเหมือนกับจะดังมาจากนกน้อยตัวนี้ และนกน้อยก็ทำท่าเหมือนจะบอกทางอะไรบางอย่างแก่เธอ อาเจียวลุกจากก้อนหินเดินตามนกน้อยที่บินนำไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว และแล้วนกน้อยก็หายวับไป หลังจากที่พาเธอผ่านทางเลี้ยวมาได้สองสามขยัก

เมื่อไม่มีนกนำทางอีกแล้ว อาเจียวเริ่มหวาดกลัว นกนั้นพูดได้หรือ? เธอเพียงแต่ฝันไปกระมัง? เธอครุ่นคิดและทั้งๆที่กำลังสับสนงุนงงอยู่นั้น เธอก็พบต้นสนยักษ์ใหญ่ต้นหนึ่งขวางหน้า ใบสนยักษ์ต้นนี้ ดกหนาจนแสงแดดส่องลอดลงมาไม่ได้ อาเจียวมองต้นสนแล้วเริ่มออกเดินวนไปรอบๆลำต้นของมัน และแล้ว.......เธอก็สังเกตเห็นรูใหญ่ตรงซอกผานั้นต้นสนนั้น อาเจียวยืนมองอย่างงงๆ มีเสียงน้ำไหลวนไปมาจากในถ้ำนั้นดังออกมาด้วย

เสียงน้ำนั้นนำสติกลับมาสู่อาเจียวอีกครั้งหนึ่ง เธอรู้สึกกระหายน้ำจึงเดินไปที่นั่น อากาศที่อบอุ่นและชุ่มชื้นลอยออกมาจากในถ้ำ อาเจียวทำมือเป็นถ้วยตักน้ำเข้าปาก น้ำในลำธารจากถ้ำนี้หวานน่ากิน แล้วอาเจียวก็มองเห็นหญ้าอ่อนๆขึ้นอยู่เต็มสองข้างลำธาร เธอก้มลงตัดหญ้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งมีทั้งดอกไม้สวยๆและหญ้างามๆ

เมื่อตัดหญ้าได้เต็มตะกร้า อาเจียวก็รู้สึกว่าตนได้ฝ่าทะลุถ้ำออกมาสู่ลานโล่งแห่งหนึ่ง ผู้หญิงสวยคนหนึ่งในชุดสีขาว กำลังเดินตรงมายังเธอ เธอผู้นั้นยิ้มกับอาเจียว และเมื่อใกล้เข้ามา เธอกล่าวกับอาเจียวว่า “ไม่ต้องกลัว เพื่อนเล็กๆของฉัน หนูดูเหน็ดเหนื่อยมากนะ อยากจะอยู่พักคุยอะไรกับฉัน สองสามวันไหม ?” อาเจียวเหลียวมองรอบตัว ที่ปลายเนินเบื้องหน้ามีบ้านสวยหลังคาสีขาว น่าอยู่หลังหนึ่ง หน้าบ้านมีต้นแคระใบสีเขียวแก่แถวหนึ่ง เด็กหญิงเล็กๆหลายคนในชุดสีขาว กำลังร้องเพลงพลางเก็บใบไม้อยู่ที่นั่น
ภาพที่เห็นทำให้อาเจียว ปิติเป็นอันมาก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แม่ตาย ที่อาเจียวได้รู้สึกเช่นนี้ อาเจียวจึงตัดสินใจที่จะอยู่กับ สตรีชุดขาวผู้ใจดีนี้สักสอง สามวัน ตามที่ได้รับคำเชิญ ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ อาเจียวได้ร่วมกับเด็กหญิงเหล่านั้น เก็บใบไม้ในตอนกลางวัน เอาใบไม้นี้ไปเลี้ยงตัวหนอนสีขาว ราวกับหิมะ ที่เธอเพิ่งรู้จักในตอนกลางคืน อาเจียวได้เรียนรู้ว่าตัวหนอนเหล่านี้คือตัวไหม ใบไม้ที่เก็บมาเลี้ยงมันก็คือใบหม่อน สุภาพสตรีที่น่ารักบอกเธอว่า เมื่อตัวหนอนชักใยเป็นตัวดักแด้แล้ว เราก็ สามารถจะสาวใยของมันเป็นเส้นยาวๆออกมาใช้ทอผ้าได้ เรียกว่า ผ้าไหม และยังสามารถจะย้อมผ้าไหมนี้ให้เป็นสีสวยงามอะไรก็ได้ ตามที่เธอชอบด้วย

อาเจียวจดจำเรื่อยเร้นลับนี้ไว้ในใจ เวลาอันผาสุกในบ้านน้อยสีขาว ผ่านไปราวกับติดปีก วันหนึ่งอาเจียวก็นึกได้ว่าเธอได้จากบ้านมานานราวกว่าสามเดือนแล้ว แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง อาเจียวคิดว่าทำไมเราไม่กลับบ้านไปรับน้องเรามาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่ล่ะ ?”แล้ววันรุ่งขึ้น อาเจียว ก็ออกเดินทางกลับบ้าน ก่อนตะวันตกดินโดยไม่บอกใครทั้งสิ้น เธอไม่ได้กลับไปตัวเปล่า แต่ได้นำไข่ตัวไหมกับเมล็ดใบหม่อน โรยเป็นระยะไปตามทางเดินด้วย โดยตั้งใจจะให้มันเป็นที่สังเกต ซึ่งเธอจะพาน้องชายเดินทางกลับมายังบ้านสีขาวนี้ได้ถูกต้อง

เมื่ออาเจียวกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่เธอพบคือพ่อที่กลายเป็นคนแก่และน้องชายที่โตเป็นหนุ่มแล้ว “แกไปอยู่ที่ไหนมา ตั้งสิบห้าปี ?เกิดอะไรขึ้นกับแกหรือ” พ่อถาม เช็ดน้ำตาที่ไหลอย่างยินดี อาเจียวเล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องที่เธอได้พบเห็น หุบเขาลึกลับ สุภาพสตรีชุดขาว ตัวหนอนสีขาวที่เรียกกันว่า “แมลงสวรรค์” และยังไข่หนอนออกมาอวดพ่ออีกด้วย หลังจากนั้น ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่า อาเจียวได้พบกับพระเจ้า ผู้ต้องการสอนคนหังโจวให้รู้จักการเลี้ยงไหมโดยผ่านตัวเธอ

วันรุ่งขึ้น อาเจียวอยากจะกลับไปยังหุบเขาลึกลับนั้นอีก แต่ปรากฏว่าเมล็ดหม่อนที่เธอเหวี่ยงมาตามทางนั้นได้กลายเป็นต้นหม่อนไปหมดแล้ว เธอเดินตามเส้นทางเดิมไปจนถึงปากถ้ำก็หาได้พบปากถ้ำที่เคยพบไม่ มีแต่เจ้านกสร้อยคอสีขาวตัวเดิมที่ยังคงบินวนอยู่เหนือหัวร้องว่า “อาเจียวขโมยสมบัติ อาเจียวขโมยสมบัติ”

แล้วเจ้านกนั้นก็หายลับไปหลังเขาอาเจียวสำนึกผิดว่าเธอได้ ขโมยไข่ตัวไหมกับเมล็ดหม่อนจากหุบเขาเร้นลับ แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากกลับบ้าน อย่างไรก็ตามการสูญเสียสวรรค์บนดินของอาเจียวกลับกลายมาเป็นโชคมหาศาล ของชาวหังโจว

เดี๋ยวนี้ เมืองหังโจวได้เป็นศูนย์กลางของการผลิตผ้าไหมในจีน อาเจียวได้ชื่อว่าเป็นผู้นำ “แมลงสวรรค์”มาสู่ หังโจว และสตรีชุดขาวในหุบเขาเร้นลับ ซึ่งไม่มีใครรู้จักชื่อได้รับขนานนามว่าเป็น “มารดาแห่งผ้าไหม”

************** ข้อมูลจาก thaiwebkit.com

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หลอดดูดน้ำมาจากไหน

หลอด เป็นอุปกรณ์ในการดูดของเหลว มักใช้กับเครื่องดื่ม โดยทั่วไปหลอดจะเป็นท่อผอมและยาว ทำจากพลาสติก (มักจะเป็น polystyrene) มีทั้งหลอดตรง และหลอดที่สามารถงอตรงปลายได้ เพื่อให้ดูดเครื่องดื่มได้ง่ายขึ้น เมื่อดูดเครื่องดื่ม เราจะนำปลายข้างหนึ่งใส่ลงในเครื่องดื่ม อีกข้างหนึ่งใส่ปาก โดยมักจะใช้มือจับไว้ด้วย เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณปากทำการออกแรงดูด ทำให้ความดันอากาศภายในปากลดลง ความดันอากาศรอบเครื่องดื่มซึ่งมีมากกว่าจะดันเครื่องดื่มให้ไหลเข้าไปในหลอดเข้าสู่ปาก หลอดถูกคิดค้นโดยชาวสุเมเรียน โดยใช้ในการดื่มเบียร์ หลอดในรูปแบบปัจจุบันคิดค้นในปี พ.ศ. 2431

........................ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย


สมัยก่อนมนุษย์กับธรรมชาติมีความเป็นอยู่ใกล้ชิดกันมาก มนุษย์รู้จักการดูแลรักษาธรรมชาติ ธรรมชาติก็ให้ประโยชน์แก่มนุษย์ มีความเป็นอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน บรรดานักประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆมาจากการสังเกตธรรมชาติ สังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว มีการลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน จนได้ข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกแก่มนุษย์อย่างในปัจจุบัน ตัวอย่างสิ่งของที่ผู้เขียนจะนำเสนอให้ผู้อ่านได้อ่านกันในวันนี้ เป็นของใกล้ตัวมีขนาดเล็กมากจนอาจทำให้ทุกคนมองข้ามไม่เคยสงสัยว่าสิ่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นคนประดิษฐ์คิดค้นมันขึ้นมาคือ “หลอดดูดน้ำ” นั้นเอง

หลอดดูดน้ำที่เราใช้กันทั่วไปในปัจจุบันมีวิวัฒนาการมาจากสมัยก่อน ตอนที่ยังไม่มีหลอดดูดน้ำมนุษย์จะใช้หญ้า ryegrass ซึ่งมีลักษณะเป็นปล้องกลวงๆยาวๆคล้ายก้านมะละกอในบ้านเราดูดน้ำกัน นาย มาร์วิน สโตน ใช้การสังเกตอุปกรณ์ดูดน้ำอย่างหญ้ามาเป็นแรงบันดาลใจประดิษฐ์หลอดดูดน้ำ โดยการพันแถบกระดาษเล็กๆรอบแท่งดินสอแล้วทากาวให้คงรูป จากนั้นจึงเคลือบไขพาราฟินจนกระดาษมะนิลาปิดรอบ เพราะการใช้กระดาษอย่างเดียวนั้นจะไม่ค่อยคงทนเมื่อถูกน้ำแล้วจะเปื่อยง่าย ต่อจากนั้นจึงมีการปรับเปลี่ยนให้มีโครงสร้างที่เหมาะสมกับการใช้งานจนได้เป็นหลอดดูดน้ำอย่างในปัจจุบัน

หลอดดูดน้ำเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1888 โดยหลอดดูดน้ำรุ่นแรกที่ผลิตออกมา มีความยาว 8.5 นิ้ว แต่มีขนาดรูเล็กมากเพื่อป้องกันเมล็ดผลไม้ในน้ำผลไม้ต่างๆ จำพวกน้ำส้ม น้ำมะนาว เล็ดรอดเข้าไปในลำคอได้ จากนั้นก็มีการพัฒนาหลอดดูดน้ำให้มีรูปลักษณ์สวยงาม ทันสมัยมากขึ้น อย่างเช่นแต่ก่อนหลอดดูดน้ำที่เราใช้กันตอนเด็กๆมีขนาดประมาณ 8 นิ้ว ขนาดรูหลอดกว้างประมาณ 7 มิลลิเมตร แต่ปัจจุบันหลอดมีขนาดอ้วนขึ้นเพื่อความสะดวกในการบริโภคเครื่องดื่มจำพวกชาไข่มุกหรือหลอดมีขนาดยาวขึ้นตามขนาดของน้ำอัดลมที่มีขนาดของขวดสูงขึ้นเป็นต้น ดังนั้นแม้ว่าหลอดจะมีวิวัฒนาการทันสมัยเพียงใด เราจะไม่มีวันมีข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกใช้อย่างทุกวันนี้เลยถ้าไม่มีเหล่ามนุษย์ผู้ช่างสังเกต คอยมองสังเกตธรรมชาติรอบๆตัวแล้วเกิดความคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆพัฒนาอย่างมีขั้นตอนดังเช่นทุกวันนี้

น่านับถือภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนจริงๆ เลยนะคะ รู้จักสังเกต และนำสิ่งรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์จนเป็นจุดเริ่มต้นวิวัฒนาการ กลายมาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกของมนุษย์ในปัจจุบันนี้

*************** ข้อมูลจาก thaifittips.com

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กีฬาฟุตบอลมาจากไหน

วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ

ขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้าและศีรษะในสมัยจักรพรรดิ์ เซิงติ (Emperor Cneng Ti) (ปี 32 ก่อนคริสตกาล) มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่องผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงครามโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมันและชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิดของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยกลาง

ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสองคือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนามของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล ในโอกาสต่อมากีฬาฟุตบอลได้จัดให้มีการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมต่างๆ ที่อยู่ห่างกันประมาณ 3-4 ไมล์ ( 5-6.5 กิโลเมตร- )

ในปี พ.ศ. 2344 กีฬาชนิดนี้ได้ขัดเกลาให้ดีขึ้น มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นให้เท่ากันในแต่ละข้าง ขนาดของสนามอยู่ในระหว่าง 80 - 100 หลา (73-91 เมตร) และมีประตูทั้งสองข้างที่ริมสุดของสนามซึ่งทำด้วยไม้ 2 อัน ห่างกัน 2-3 ฟุต

ในปี พ.ศ. 2366 ได้จัดให้มีการเล่นฟุตบอลในรูปแบบของการเล่นใน ปัจจุบัน William Alice คือผู้เริ่มวางกฎบังคับต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลและรักบี้ ในปี พ.ศ. 2393 ได้มีการออกระเบียบและกฎของการเล่นไปสู่ ดินแดนต่างๆ ให้ปฏิบัติตาม โดยจำกัดจำนวนผู้เล่นให้มีข้างละ 15-20 คน

ในปี พ.ศ. 2413 มีการกำหนดผู้เล่นให้เหลือข้างละ 11 คน โดยมีผู้เล่นกองหน้า 9 คน และผู้เล่นรักษาประตู 2 คน โดยผู้รักษาประตูใช้เท้าเล่นเหมือน 9 คนแรกจนกระทั่งให้เหลือผู้รักษาประตู 1 คน แต่อนุญาตให้ใช้มือจับลูกบอลได้ในปี พ.ศ. 2423


ในปี พ.ศ. 2400 สโมสรฟุตบอลได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่เมืองเซนพัสด์ประเทศอังกฤษ และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406 สโมสรฟุตบอล 11 แห่งได้มารวมกันที่กรุงลอนดอนเพื่อก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น ซึ่งถือเป็นรากฐานในการกำเนิดสมาคมแห่งชาติ จนถึง 140 สมาคม และทำให้ผู้เล่นฟุตบอลต้องเล่นตามกฎและกติกาของสมาคมฟุตบอล จนเวลาผ่านไปจากคำว่า Association ก็ย่อเป็น Assoc และกลายเป็น Soccer ขึ้นในที่สุด ซึ่งนิยมเรียกกันในประเทศอังกฤษ แต่ชาวอเมริกันเรียกว่า Football หมายถึง American football

ภายนอกเกาะอังกฤษ พวกกะลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า วิศวกร หรือแม้แต่นักบวชได้นำกีฬาชนิดนี้ไปเผยแพร่ ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ 2 ในยุโรป

ในอเมริกาใต้ สโมสรแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อพี่น้องชาวอังกฤษ 2 คน ได้ลงข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเมืองบูเอโนสไอเรส (Buenos Aires) เพื่อ หาผู้อาสาสมัคร ในปี พ.ศ. 2427 กีฬาฟุตบอลก็กลายมาเป็นวิชาหนึ่งในโรงเรียนของเมืองบูเอโนสไอเรส การแข่งขันระดับชาติครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ คือ การแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินากับอุรุกวัย ในปี พ.ศ.2448 แต่อเมริกาเหนือเริ่มแข่งขันเมื่อปี พ.ศ. 2435

ในอิตาลี ฮาร์ปาสตัมเป็นต้นกำเนิด จิโอโค เดล คาลซิโอ ผู้เล่นกีฬาจะเป็นผู้นำทางสังคม หรือแม้แต่ผู้นำชั้นสูงของศาสนา เช่นสันตปาปา เกลาเมนต์ที่ 7 ลีออนที่ 10 และเออร์เบนที่ 7 เป็นถึงแชมเปี้ยนในกีฬาฟลอเรนไทน์ฟุตบอล ต่อมาชาวโรมันได้ดัดแปลงเกมการเล่นฮาร์ปาสตัมเสียใหม่ โดยกำหนดให้ใช้เท้าแตะลูกบอลเท่านั้น ส่วนมือให้ใช้เฉพาะการทุ่มลูกบอล ซึ่งนักรบชาวโรมัน นิยมเล่นกันมาก

กีฬาฮาร์ปาสตัมซึ่งมีต้นกำเนิดจากสมัยโรมันได้ถูกแปลงมาเป็นกีฬาซูลอหรือซูเลอ กีฬาชนิดนี้เหมือนกับฮาร์ปาสตัม คือ นำลูกบอลกลับไปยังแดนของตน แต่สนามมีขนาดกว้างกว่ามาก การเล่นซูเลอมักจะมีขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์หลังการสวดมนต์เย็น จะมีการแข่งขันสำคัญในช่วงเวลาดีคาร์นิวาล กีฬาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเขตปริตานีและมอร์ลังดี กีฬานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังอังกฤษโดยผู้ติดตามของวิลเลี่ยมผู้พิชิตภายหลัง การรบที่เฮสติ้ง (Hasting)

เมื่อ 900 ปีกว่ามาแล้ว ประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในความปกครองของพวกเคนส์ เชื้อสายโรมัน ซึ่งยกกองทัพมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ และได้ปกครองเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 1589 อังกฤษเริ่มเข้มแข็งขึ้น และสามารถขับไล่พวกเคนส์ออกจากประเทศได้ หลังจากนั้น 2-3 ปี อังกฤษจึงเริ่มปรับปรุงประเทศเป็นการใหญ่ มีการขุดอุโมงค์ตามพื้นที่หลายแห่ง ซึ่งในการขุดอุโมงค์คนงานคนหนึ่งได้ขุดไปพบกะโหลกศีรษะในบริเวณที่เคยเป็นสนามรบ และเป็นที่ฝังศพของพวกเคนส์มาก่อนทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่าเป็นกะโหลกศีรษะของพวกเคนส์ อารมณ์แค้นจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกพวกเคนส์กดขี่ทารุณจิตใจคนอังกฤษในสมัยนั้นด้วยเหตุผลนี้ คนงานคนหนึ่งจึงเตะกะโหลกศีรษะนั้นทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหยุดงานชั่วคราว แล้วหันมาเตะกะโหลกศีรษะเป็นการใหญ่ เพื่อระบายอารมณ์แค้นที่เก็บไว้อย่างสนุกสนาน ผลที่สุดเมื่อพวกนี้หากะโหลกศีรษะเตะกันไม่ได้ก็เอาถุงลมของวัวมาทำเป็นลูกกลมขึ้นเตะแทนกะโหลกศีรษะ ปรากฏว่าเป็นที่รื่นเริงสนุกสนามกันมาก

ต่อมาชาวโรมันได้นำเกมนี้ไปเล่นในอังกฤษ จากนั้นชาวอังกฤษก็ได้ปรับปรุงวิธีการเล่น เทคนิคการเล่น ตลอดจนกติกาให้เหมือนในสมัยปัจจุบัน คือเกมฟุตบอลที่ใช้เท้าเล่น แต่ในระยะแรกของการเล่นฟุตบอลจะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ เฉพาะพวกคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เล่น ประตูจะห่างกันเป็นไมล์ และใช้เวลาในการเล่นหลายชั่วโมง จะเป็นการเล่นระหว่างทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์ นักบวช คนที่แต่งงานแล้ว คนโสด และพวกพ่อค้า เกมชนิดได้กลายเป็นสิ่งฉลองในงานพิธีต่างๆ เช่น ในวันโชรพ ทิวส์เดย์ (Shrove Tuesday) จะมีฟุตบอลนัดสำคัญให้คนได้ชม เกมในสมัยนั้นจะเล่นกันอย่างรุนแรงและมีการบาดเจ็บกันมาก

ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 1857 พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 2 ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกา เนื่องจากมีเสียงอึกทึกครึกโครมจาการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า โดยห้ามเล่นกีฬาดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก

ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฎของสมาคมแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2412 ระหว่างทีมรัตเกอร์กับทีมบรินท์ตัน จากนั้นกิจการฟุตบอลได้เจริญขึ้นช้าๆ ในต่างจังหวัดจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการตั้งสมาคมฟุตบอลต่างจังหวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2450 และมีการฝึกสอนในปี พ.ศ. 2484

ในทวีปเอเชีย อินเดียเป็นประเทศแรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยกัลกัตตา เป็นผู้นำสำเนากฎหมายการเล่นมาเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2426 และในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรก ในทวีปซึ่งยังไม่มีชื่อเสียงในด้านการเล่นฟุตบอล กีฬาชนิดนี้ก็ได้เริ่มมีการเล่นมาก่อนร่วมร้อยปีแล้ว เช่นสมาคมฟุตบอลแห่งนิวเซาท์เวลส์ ได้ถูกตั้งขึ้นในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2425 และสมาคมฟุตบอลของนิวซีแลนด์ได้ถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้น 9 ปี

ในแอฟริกา สมาคมระดับชาติแห่งแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ แต่อียิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการแข่งขันระดับชาติในปี พ.ศ. 2467 คือ 3 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้น และอียิปต์สามารถเอาชนะฮังการีได้ 3-0 ในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส

การแข่งขันระดับชาติเป็นการแข่งขันระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 และในปีแรกของศตวรรษที่ 20 โดยประเทศยุโรปอื่นๆ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2447 กลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบนี้ได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อตั้งสมาคมฟุตบอลนานาชาติขึ้น ในครั้งแรกก่อนการจัดตั้งสหพันธ์ 20 วัน สเปนและเดนมาร์กไม่เคยร่วมการแข่งขันระดับชาติมาก่อน และ 3 ประเทศใน 7 ประเทศที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีสมาคมฟุตบอลในชาติของตน แต่ฟีฟ่าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา โดยมีสมาชิก 5 ชาติ ในปี พ.ศ. 2481 และ 73 ชาติ ในปี พ.ศ. 2493 และในปัจจุบันมีสมาชิกถึง 146 ประเทศ ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฟีฟ่า ทำให้ฟีฟ่าเป็นองค์การกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สมาพันธ์ประจำทวีปของสมาคมฟุตบอลแห่งแรกที่ตั้งขึ้นคือ Conmebol ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของอเมริกาใต้ สมาพันธ์นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดตั้งเพื่อจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศภายในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2460 เกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมาเมื่การแข่งขันภายในทวีปได้แพร่หลายมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์ในทวีปอื่นๆ ขึ้นอีกคือสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งในทวีปเอเชีย และ 2 ปี ก่อนการจัดตั้งสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งแอฟริกา (Concacaf)หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอเมริกากลาง อเมริกาเหนือ และแคริบเบี้ยน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และน้องใหม่ในวงการฟุตบอลโลกคือ สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งโอเชียนเนีย (Oceannir)

.....................................ข้อมูลจาก kroobannok.com

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกมส์่ต่อสู้ เกมส์จับคู่ เกมส์มันๆ

เกมส์ต่อสู้ เกมส์จับคู่ เกมส์มันๆ แนะนำ

แนะนำ เกมส์ต่อสู้
แหล่งรวม เกมส์ต่อสู้ เหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบเล่น เกมส์ออนไลน์ มันๆ ที่นี่มีเกมส์มากมายให้ท่านเลื่อกเล่น รับรองมันทุกเกมส์ อัปเดตเกมส์ใหม่ๆ ตลอด

แนะนำ เกมส์จับคู่
แหล่งรวม เกมส์จับคู่ เหมาะสำหรับทุกคนที่อยาก โหลดเกมส์จับคู่ เกมส์จับคู่ดารา เกมส์จับผิด ที่นี่มีเกมส์มากมายให้ท่านเลื่อกเล่น รับรองสนุกทุกเกมส์ อัปเดตเกมส์ใหม่ๆ ตลอด

แนะนำ เกมส์มันๆ
แหล่งรวม เกม มันๆ สำหรับใครที่อยาก โหลดเกมส์มันๆ เกมส์สนุกๆ อย่างเช่น เกมส์สร้างเมือง เกมส์ผี  ที่นี่มีเกมส์มากมายให้ท่านเลื่อกเล่น รับรองไม่ผิดหวัง เรามีการอัปเดตเกมส์ใหม่ๆ ตลอด

อยากเล่นเกมส์ต้องมาที่  Girlzeed.com นอกจาก เกมส์มันๆ อย่าง เกมส์ต่อสู้ และ เกมส์จับคู่ ที่แนะนำมานี้ยังมีเกมส์อื่นๆ อีกมากมายหลายหมวดหมู่ให้เลือกเล่นกันอย่างจุใจ อย่างเช่น เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ยิงปืน เกมส์แข่งรถ เกมส์ยิง เกมส์รถแข่ง เกมส์ทำอาหาร เกมส์จับผิดภาพ เกมส์แต่งตัว

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กระดาษมาจากไหน

กระดาษ เป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่ามีการใช้กระดาษครั้งแรกๆ โดยชาวอียิปต์และชาวจีนโบราณ แต่กระดาษในยุคแรกๆ ล้วนผลิตขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าระบบการเขียนคือแรงผลักดันให้เกิดการผลิตกระดาษขึ้นในโลก ปัจจุบันกระดาษไม่ได้มีประโยชน์ในการใช้จดบันทึกตัวหนังสือ หรือข้อความ เท่านั้น ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้มากมาย เช่น กระดาษชำระ กระดาษห่อของขวัญ กระดาษลูกฟูกสำหรับทำกล่อง เป็นต้น

ประวัติกระดาษ
กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากกกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า พาไพรัส (papyrus) และเรียกว่ากระดาษพาไพรัส พบว่ามีการใช้จารึกบทสวดและคำสาบาน บรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษที่ทำจากพาไพรัสมาตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล)

สำหรับวัสดุใช้เขียนนั้น ในสมัยโบราณมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น แผ่นโลหะ หิน ใบลาน เปลือกไม้ ผ้าไหม ฯลฯ ผู้คนสมัยโบราณคงจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ครั้นเมื่อราว ค.ศ. 105 สมัยพระเจ้าจักรพรรดิโฮตี่ ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษโดยชาวเมืองลีบางชื่อว่า ไซลุง (Ts'ai'Lung) ใช้เปลือกไม้เศษแหอวนเก่าๆมาต้มจนได้เยื่อกระดาษและมาเกลี่ยบนตระแกรงปล่อยให้แห้และหลังจากนั้นได้มีการใช้วิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

กระดาษถูกนำจากประเทศจีนสู่โลกมุสลิมผ่านสงครามทัลลัส (Tallas) ในปี ค.ศ. 751 ที่กองทัพจีนรบกับกองทัพมุสลิม เชลยศึกชาวจีน 2 คนได้เปิดเผยวิธีการทำกระดาษแก่ชาวมุสลิมก่อนได้รับการปล่อยตัวไป จากนั้นมุสลิมได้ทำให้การทำกระดาษเปลี่ยนจากศิลปะไปเป็นอุตสาหกรรมกระดาษ ทำให้มีการพัฒนาการศึกษาในโลกมุสลิมอย่างกว้างขวาง มุสลิมในสมัยกลางจึงเจริญก้าวหน้าด้านศิลปวิทยาการที่สุดในโลก

ชาวมุสลิมปรับปรุงวิธีการทำกระดาษใช้ผ้าลินินแทนเปลือกของต้นหม่อนอย่างที่ชาวจีนทำ เศษผ้าลินินไม่เน่าเปื่อย แต่จะเปียกโชกอยู่ในน้ำ และหมักอยู่ในนั้น เศษผ้าที่ต้มแล้วจะปราศจากกากที่เป็นด่างและสิ่งสกปรกอื่น ๆ จากนั้นเศษผ้าจะถูกนำมาตอกด้วยค้อนให้เป็นเยื่อ เทคนิคที่ทำให้เป็นเยื่อบางนี้ถูกพัฒนาโดยชาวมุสลิม

แบกแดด ราชธานีของอาณาจักรอับบาซิด สมัยนั้นเต็มไปด้วยโรงงานทำกระดาษ จากนั้นยังกระจายไปสู่อีกหลาย ๆ ส่วนของโลก กระดาษที่ส่งออกไปยุโรปโดยมากทำในเมืองดามัสกัส (ซีเรีย) เมื่อขยายการผลิตเพิ่มขึ้น กระดาษจึงมีราคาถูกลง คุณภาพดีขึ้นและมีจำหน่ายแพร่หลาย

จากนั้นโรงงานกระดาษที่เฟื่องฟูอยู่ในอิรัก ซีเรีย และปาเลสไตน์ ก็ขยายตัวไปสู่ทางตะวันตก ในทวีปอาฟริกา โรงงานกระดาษแห่งแรกของประเทศอียิปต์ตั้งขึ้นในปีค.ศ. 850 จากนั้นขยายไปมอรอคโค และในปีค.ศ. 950 ได้ขยายไปยังอันดาลูเซีย อาณาจักรมุสลิมสเปน

กระดาษถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในยุโรปโดยมุสลิมมัวร์ โดยวัสดุที่ใช้ทำกระดาษคือปอชั้นดีของบาเลนเซียและมูร์เซีย โดยมีศูนย์กลางโรงงานกระดาษของอันดาลูเซีย ที่เมืองชาติวา (Xativa หรือ Jativa) ใกล้บาเลนเซีย จากสเปนและเกาะซิซิลีซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณาจักรมุสลิม การทำกระดาษได้ขยายไปสู่ชาวคริสเตียนในอิตาลี จากนั้นในปีค.ศ. 1293 มีการตั้งโรงงานกระดาษที่โบโลญญา (Bologna) ในปีค.ศ. 1309 เริ่มมีการใช้กระดาษเป็นครั้งแรกในอังกฤษ จากนั้นในปลายศตวรรษที่ 14 ชาวเยอรมันจึงเพิ่งรู้จักกระดาษ

..................................................ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย