วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

10 วิธี “ตื่น” ได้ทุกวัน

หากความหมายของการ “ตื่น” คือ การมีสติ การรู้ตัว และไม่เผลอหลงไปกับพฤติกรรมหรือความคิดที่เราเคยชิน การเจริญสติในชีวิตประจำวันย่อมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่การ ‘ตื่น’ ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก … แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไปเช่นกัน



จากการพูดคุยกับพี่น้องผู้ปฏิบัติหลายท่าน เราได้รับฟังประสบการณ์ที่แต่ละคนแลกเปลี่ยนว่า มีวิธีการปฏิบัติส่วนตัวในชีวิตประจำวันกันอย่างไรบ้าง เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเสนอกุศโลบายที่แยบคาย และน่าสนุกยิ่งสำหรับนักปฏิบัติในคอลัมน์ครั้งนี้



1. ระฆังแห่งสติในคอมพิวเตอร์

เหมาะมากสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังจากโปรแกรม (เราสามารถตั้งไว้ได้ว่าจะให้ดังทุก 15 นาที หรือ ทุกชั่วโมง ที่กังวานใส เราก็เพียงหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ รวมถึงหยุดคิดด้วย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งสติสัก 3 ลมหายใจ แล้วจึงค่อยทำงานต่อ ส่วนใครจะหายใจไปด้วย ยิ้มไปด้วย ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด



2. ระฆังแห่งสติในชีวิตประจำวัน

สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถเจริญสติได้ โดยการหาอะไรสักอย่างที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมาเป็น “ระฆังแห่งสติ” ให้กับตนเอง บางคนใช้เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ตามลมหายใจก่อนรับโทรศัพท์ มีพี่หมอท่านหนึ่งได้แลกเปลี่ยนว่า เพราะการเป็นหมอดมยาในห้องผ่าตัด (วิสัญญีแพทย์) พี่หมอจึงใช้เสียงของเครื่องปั๊มอากาศในห้องผ่าตัดแทนระฆัง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องปั๊มอากาศพี่หมอก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ แล้วชวนให้ผู้ป่วยกลับมาอยู่กับลมหายใจพร้อมกัน พี่หมอบอกว่านอกจากตัวเองแล้ว ยังสังเกตได้ว่าผู้ป่วยที่เคยกังวล ค่อยๆ หลับไปด้วยความผ่อนคลายยิ่งขึ้นด้วย งานนี้เรียกว่าหนึ่งได้สองกันเลยเชียว



3. ทางเดินแห่งสติ

เราอาจเลือกเส้นทางหนึ่งที่เราต้องเดินในทุกวันให้เป็นทางเดินแห่งสติของเราเอง อาจเป็นทางเดินที่ไม่ไกลนัก เช่น จากที่จอดรถไปห้องทำงาน หรือจากตึกหนึ่งไปสู่อีกตึกหนึ่งหรือบันไดระหว่างชั้นที่เรามักต้องขึ้นลงบ่อยๆ ขอให้เราตั้งใจเอาไว้ว่า ในเส้นทางนี้เราจะเดินอย่างมีสติในทุกย่างก้าว ให้เป็นเส้นทางที่เดินแล้วเราได้ผ่อนคลาย เป็นการเดินที่สร้างรอยยิ้มให้กับเราก็เพียงพอแล้ว



4. ไฟแดงคือหยุดอย่างแท้จริง

น้องคนหนึ่งแลกเปลี่ยนว่า แทนที่จะปล่อยความหงุดหงิดไปกับรถติดบนท้องถนน เธอเลือกที่จะใช้ไฟแดงนั้นเป็นอุปกรณ์ทำให้เธอได้กลับมาอยู่กับลมหายใจ และยิ้มให้กับไฟแดงซะเลย ยิ่งติดไฟแดงบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาอยู่กับลมหายใจเท่านั้น เธอบอกไว้พร้อมรอยยิ้ม



5. จักรวาลในจานข้าว

บางคนจะที่ชอบทานก็สามารถยึดเอาเป็นสรณะได้เช่นกัน เพราะยิ่งทานก็ยิ่งมีโอกาสได้พิจารณาอาหารได้มากครั้งเท่านั้น เราได้มีโอกาสฝึกมองอย่างลึกซึ้งว่าอาหารหรือขนมที่อยู่ตรงหน้านั้นมาจากไหนบ้าง มีผู้คนที่ทำงานหนักด้วยความรักความเอาใจใส่อยู่มากมายเพียงใดในอาหารจานนี้ ที่สำคัญเรากำลังจะทานด้วยความรู้สึกอย่างไร เพียงเท่านี้เวลาในการทานอาหารก็กลายเป็นเวลาอันประเสริฐแห่งการปฏิบัติแล้ว



6. เพลงพาใจเบิกบาน

หมู่บ้านพลัมมีบทเพลงที่เชื้อเชิญให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ กับปัจจุบันขณะ กับตัวเราเอง กับความเบิกบาน มากมาย เวลาที่ขุ่นมัวเราอาจจะฮัมเพลงเหล่านั้นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งแม้เพียงแผ่วเบา ดอกไม้ก็สามารถบานขึ้นในใจได้เช่นกัน หรือใครจำเพลงของหมู่บ้านพลัมไม่ได้ อาจเลือกเพลงที่มีความหมายดีๆ ที่ชอบเป็นการส่วนตัวแทนก็ได้ ไม่ว่ากัน



7. ปฏิบัติกับสังฆะ

การดำรงสติในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่การปฏิบัติร่วมกันเป็นหมู่คณะช่วยให้การปฏิบัติง่ายขึ้นได้ เวลาเรายิ้มไม่ค่อยออก พี่น้องข้างหน้าจะส่งยิ้มให้เรายิ้มตอบ เวลาเราไม่ค่อยมีสติ พี่น้องข้างขวาจะปฏิบัติอย่างมีสติให้เราเห็น เวลาเราหลงลืมการปฏิบัติ พี่น้องข้างซ้ายจะปฏิบัติอย่างถูกต้องให้เราได้ทำตาม เวลาเราหมดกำลังใจ พี่น้องข้างหลังจะส่งพลังแห่งสติและความเบิกบานมาเกื้อกูล “สังฆะอยู่รอบตัวเราเพื่อเกื้อกูลกันและกัน ถ้าเป็นไปได้ควรปฏิบัติร่วมกันเป็นสังฆะดีกว่าปฏิบัติเพียงลำพังคนเดียว” หลวงปู่กล่าวเอาไว้เช่นนั้น



8. ยิ้มช่วยท่านได้

เพื่อนนักปฏิบัติคนหนึ่งที่แม้จะไม่รู้จักหลวงพี่นิรามิสาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะชอบรอยยิ้มอันเบิกบานของหลวงพี่ จึงตัดเอารูปของหลวงพี่จากนิตยสารฉบับหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อหงุดหงิดหรือมีความโกรธขึ้นมา พี่คนนี้ก็จะเปิดลิ้นชักออกมาและพบกับรอยยิ้มของหลวงพี่ ในทันใดก็สามารถสัมผัสถึงรอยยิ้มของหลวงพี่และสามารถยิ้มกลับไปได้ เมื่อรอยยิ้มเกิด ความโกรธก็จากลาไปในขณะเดียวกัน : )



9. หลวงปู่ช่วยท่านได้

พี่คนหนึ่ง (อักษรย่อ ต.) เป็นคนชอบดื่มเหล้า เมื่อปฏิบัติก็รับศีลและตั้งใจว่าจะลดการดื่มลง เมื่อกลับไปที่บ้าน พี่ต. นำใบรับศีลที่ได้วางไว้หน้าขวดเหล้าในตู้เพื่อเป็นระฆังสติ เตือนใจยามที่เพื่อนมาที่บ้านแล้วจะสังสรรค์กัน เท่านั้นไม่พอ พี่ต. ยังนำรูปหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ วางไว้หลังใบรับศีล เผื่อว่าวันไหนอดใจไม่ไหว หยิบใบรับศีลออกก็จะยังได้เจอกับหลวงปู่อีกเป็นปราการด่านสุดท้าย และขอรายงานว่า จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ขวดสุราของ พี่ต. ยังไม่พร่องไปเลยสักนิด เพราะการปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง



10. ……………

สำหรับข้อนี้ขอเว้นว่างเอาไว้ให้คุณผู้อ่านได้เติมวิธีปฏิบัติของตัวเองว่ามีวิธีการ “ตื่น” อย่างไรบ้าง …๐



ที่มา palungjit

ข้อมูลจาก หมู่บ้านพลัม thaiplumvillage

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

4 บ่อเกิดของอารมณ์หึง

ขี้หึงจะมองโลกผ่านเลนส์บิดเบี้ยวผิดรูป คือมองเห็นอันตรายในที่ๆไม่มีอะไรเลย






ทุกคนย่อมมีอารมณ์หึงหวงบ้างเป็นครั้งคราว แต่คนที่ไม่ไว้ใจผู้อื่นแบบสุดๆ จะมีอาการหึงหวงกับทุกคนที่ตัวเองออกเดทหรือมีความสัมพันธ์ด้วย และสาเหตุที่หึงจนหน้ามืดขนาดนั้นก็เพราะ



ความไม่มั่นคง

ความหึงหวงและความไม่ไว้ใจมักมีบ่อเกิดมาจากความไม่มั่นคง เรื่องนี้เป็นเหตุเป็นผลกัน คนที่อยู่ในอารมณ์หึงหวงและไม่มั่นคงจะแสดงออกได้ 2 ทางคือ เกิดอาการจิตตกคิดเอาเองเป็นตุเป็นตะว่า คนรักของตัวเองกำลังจะหอบผ้าหนีไปกับภารโรงที่ออฟฟิศวัย 80 หรือไม่ก็ทำตัวแย่ๆเหมือนอันธพาลคอยหาเรื่อง ถ้ารู้สึกว่าตัวเองอาการไม่ดี ภายในใจมันปั่นป่วนเหลือเกิน วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นด้วยการพยายามควบคุมทุกอย่างและทุกคนที่อยู่รอบตัว ลองเล่นบทใจแข็งด้วยการปล่อยวางทุกครั้งที่รู้สึกหึงหวงหวานใจ วิธีนี้จะทำให้เข้มแข็งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าทำใจแข็งเมินเฉยไม่สนใจใยดีนานเท่าไร อีกฝ่ายจะกลายเป็นคนที่รู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมาบ้าง ไปๆมาๆก็จะไม่กล้าทิ้งเราไปไหนเลย



วัยเด็ก

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าลูกคนกลางมักเป็นคนขี้อิจฉา อาจเป็นเพราะลูกคนกลางมักรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและมองข้าม นอกจากนั้นถ้าในอดีตพ่อหรือแม่มีชู้ ก็อาจเป็นปมให้เรานึกสงสัยคนรักของตัวเองเช่นกัน เราอาจใช้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ที่เราเคยเห็นมาตัดสินความสัมพันธ์ของตัวเองด้วย



อดีต

ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกทิ้งมาก่อนหน้านี้ หรือถูกนอกใจเป็นประจำ ก็คงเป็นเหตุผลสมควรที่จะไม่ไว้ใจคนรัก เราเรียนรู้จากประสบการณ์ว่าคนบางคนไม่ควรค่าที่จะมอบความไว้วางใจให้ หรือไม่งั้นเราก็มองคนไม่เก่งนัก ถ้าครั้งสุดท้ายที่คนรักออกไปซิ่งนอกบ้าน แล้วแอบไปสะบึมกับคนอื่น จึงมีสิทธิ์ที่เราจะโมเมได้ทันทีว่า คนรักที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบันก็น่าจะทำแบบนั้นเช่นกัน ถึงแม้มันอาจฟังดูงี่เง่าก็เถอะ ก็คนมันมีปมในใจนี่นะ



ประวัติความซื่อสัตย์ของตัวเอง

ถ้าเกิดรู้สึกว่ามันช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือเกินที่จะซื่อสัตย์กับคนเพียงคนเดียว ในเมื่อคิดแบบนี้เราก็อาจเหมาเอาว่าคนอื่นก็คงคิดเหมือนกัน นักจิตวิทยาบอกว่า นี่คือการมองเห็นคุณสมบัติ (แย่ๆ) ของตัวเองในตัวผู้อื่น เราไม่ไว้ใจตัวเอง (ไม่ว่าตอนนี้หรือในอดีต) ดังนั้นเราก็เลยไม่ไว้ใจคนรักไปด้วยโดยปริยาย ถ้าเรามีนิสัยนอกใจผู้อื่นเป็นอาจิณ แถมยังหนีรอดลอยนวลมาได้ตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนอื่นก็ต้องทำแบบนี้กับเราเหมือนกัน…กงกรรมกงเกวียนไงคะ.











ที่มา

msn.co.th

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ทำไมถึงเรียกว่า "เก้าอี้"

พรพรรณ ทองตัน เล่าเรื่องนี้ไว้ในอภิธานศัพท์คำไทยที่มีต้นเค้าจากภาษาต่างประเทศ ขอสรุปมาให้อ่านสั้นๆว่า
สมัยโบราณตามบ้านคนไทยมิได้มีเก้าอี้ใช้กัน เนื่องจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราคือการนั่งและนอนบนพื้น แม้แต่การรับประทานอาหาร ก็ตั้งสำรับกับข้าวนั่งล้อมวงกันบนพื้นบ้าน ดังนั้นเครื่องเรือนของคนไทยสมัยก่อนจึงมีเพียงเสื่อ พรม และหมอนอิง เป็นอาทิ คนไทยเราน่าจะได้รับเอาเครื่องเรือนชนิดนี้มาจากชาวจีน เพราะคำว่า “เก้าอี้” ไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็นคำในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง ม้านั่ง ส่วนสำเนียงจีนกลางออกเสียงว่า “เกาอี่” เกาแปลว่าสูง อี่แปลว่าที่นั่ง รวมความคือ ที่นั่งสูง จึงเป็นไปได้ว่าคำ “เก้าอี้” ที่ไทยใช้ น่าจะเป็นคำเพี้ยนเสียงมาจาก เกาอี่ ของสำเนียงจีนกลาง หรือทับศัพท์สำเนียงแต้จิ๋ว เก้าอี้ ก็ได้
เก้าอี้ที่ใช้กันในระยะแรกเป็นเพียงม้านั่งธรรมดาอย่างที่ใช้กันตามร้านก๋วยเตี๋ยว ส่วนเก้าอี้ที่มีพนักพิงและที่เท้าแขนแพร่มาสู่ประเทศไทยในระยะหลัง (มีบันทึกว่าจีนรับเก้าอี้มีพนักพิงและที่เท้าแขนมาจากพวกแขกที่ติดต่อค้าขายด้วย) อย่างไรก็ตามคนไทยยังคงเรียกเครื่องเรือนทั้งสองลักษณะว่า “เก้าอี้” ตามคำในภาษาจีน


ขอบคุณ 108 ซองคำถาม

นิตยสาร สารคดี