วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำยาลบคำผิดมาจากไหน



น้ำยาลบคำผิด เป็นของเหลวสีขาวทึบใช้สำหรับป้ายทับข้อความผิดพลาดในเอกสาร และเมื่อแห้งแล้วสามารถเขียนทับได้ โดยปกติน้ำยาลบคำผิดจะบรรจุอยู่ในขวดเล็ก และมีฝาซึ่งมีแปรงติดอยู่ (หรืออาจเป็นชิ้นโฟมสามเหลี่ยม) ซึ่งจุ่มน้ำยาอยู่ในขวด แปรงนั้นใช้สำหรับป้ายน้ำยาลงบนกระดาษ


นางเบ็ต เนสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาที่เธอพิมพ์งานผิด เธอต้องเจอกับปัญหาการพิมพ์ผิด ซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบทำให้การทำงานทั้งล่าทั้งช้า และไม่เรียบร้อย ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบทำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว เธอจึงหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา 


ในปี ค.ศ.1950 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่ป้ายน้ำยาทาเล็บป้ายสีขาวลงบนกระดาษ แค่นี้คำผิดก็ลบไป พิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช่งาย รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรดาเพื่อนร่วมงานเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง และนี่ก็คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด Liquid Paper 


เมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมากๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาว และทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่น กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี ต่อมาในปี ค.ศ.1979 เธอได้ขายกิจการให้บริษัทยิลเล็ต (Gillette) ในราคาที่สูงถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถผลิต Liquid Paper ได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก 








ขอบคุณข้อมูลจาก narak.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำหอมมาจากไหน

น้ำหอม คือ สารละลายหอมระเหยทำจากน้ำมันกับแอลกอฮอล์ มีกลิ่นที่สกัดมาจากดอกไม้ในธรรมชาติหรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาผสมอยู่ ใช้ทาหรือพ่นตามเสื้อผ้าหรือร่างกาย น้ำหอมจะระเหยออกมาพร้อมกับส่งกลิ่นหอมชวนดมออกมาด้วย มีหลายกลิ่น บางกลิ่นเกิดจากการนำกลิ่นดอกไม้หลายชนิดมาผสมกัน

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิดของ "น้ำหอม" อยู่ที่ประเทศอียิปต์โบราณ แต่ในสมัยนั้นเรียกว่า "เครื่องหอม" จะดีกว่า คงยังไม่ใช่น้ำหอมเสียทีเดียว โดยชาวอียิปต์ใช้เครื่องหอมเหล่านี้ในพิธีบูชาเทพเจ้า วิธีการของพวกเขาก็คือนำพวกพืชที่มีกลิ่นหอมมาเผาให้เกิดควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ต่อมา ชาวกรีกได้รับอิทธิพลนำมาประยุกต์ใช้ในการอาบน้ำ กล่าวคือมีการนำน้ำมันและขี้ผึ้งมาทาตัวหลังอาบน้ำเสร็จ นอกจากนี้ในพิธีศพยังมีการใช้เครื่องหอมทาตัวผู้ตาย และนำน้ำหอมส่วนตัวของผู้ตายไปฝังพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของเขาด้วย

ชาวโรมันเองก็รับเอาธรรมเนียมการใช้น้ำหอมมาปฏิบัติด้วย มีการพัฒนาส่วนผสมของน้ำหอมแต่ละชนิดเพื่อใช้ในพิธีต่างๆ เช่น พิธีทางศาสนา พิธีฝังศพ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น

วิวัฒนาการด้านการปรุง "น้ำหอม" เริ่มเป็นที่แพร่หลายในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 14 ในยุคเรอเนสซองซ์วัฒนธรรมการปะพรมน้ำหอมถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนชั้นสูงในราชสำนัก และพวกที่มีฐานะทางสังคม

ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป มนุษย์มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีมากขึ้น การใช้ "น้ำหอม" ได้แพร่หลายไปสู่สามัญชน อุตสาหกรรมน้ำหอมเกิดขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 18 และแหล่งกำเนิดก็ไม่ใช่ที่ไหน หากแต่เป็นประเทศฝรั่งเศสที่เรารู้จักเป็นอย่างดีนั่นเอง เมืองกราสซ์ในแคว้นโพรวองซ์ ของฝรั่งเศส ถือเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตน้ำหอมที่ขึ้นชื่อที่สุดในโลก และจวบจนกระทั่งปัจจุบันฝรั่งเศสก็ยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำหอมโลกอยู่ ดังนั้นหากจะถามว่าประเทศใดเป็นสุดยอดด้านน้ำหอมก็คงจะต้องยกตำแหน่งนี้ให้กับเขา

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

รองเท้ามาจากไหน


รองเท้า เป็นเครื่องใช้ที่มนุษย์นำมาใช้กับเท้า เพื่อป้องกันการเจ็บเท้าจากการเดินหรือ การวิ่ง รองเท้ามีหลายประเภทตามวัสดุและประโยชน์การใช้งาน เช่น รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ

นักโบราณคดี พบรองเท้าแตะที่ทำด้วยเปลือกไม้ 50 คู่ ในถ้ำ Fort Rock ในรัฐโอเรกอน ซึ่งมีอายุมากกว่า 5,000 ปี เชื่อว่า Fort Rock เป็นโรงงานรองเท้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

เมื่อหลายพันปีก่อน ได้กำเนิดรองเท้าขึ้นมา โดยรองเท้าที่เกิดขึ้นมีปัจจัยการผลิตมาจากสภาพอากาศและวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สะแวกนั้น ต่างทวีปกัน รองเท้าก็ต่างกันมาก รองเท้าคนจีนส่วนใหญ่ทำจากผ้า รองเท้าคนฮอลแลนด์ส่วนมากทำจากไม้ โดยเค้าเรียกว่า ซาบ็อตส์ หรือเรียกอีกชื่อว่าคล็อค รองเท้าคนอเมริกันอินเดียวทางเหนือ ทำจากหนังสัตว์ ต่อมาชาวอเมริกันอินเดียนทางใต้ได้ค้นพบการนำน้ำยางพาราดิบมาห่อหุ้มเท้า โดยการนำเท้าไปจุ่มลงในน้ำยางพาราดิบ ซึ่งเหมือนกับเป็นรองเท้าต้นแบบเลยทีเดียว

ในปี ค.ศ.1830 ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ ชาวอเมริกันได้ทำการวิจัยเรื่องยางอยู่ ในขณะที่เขากำลังทำวิจัย เขาได้ค้นพบกระบวนการอบยางขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเขาหยดส่วนผสมของยางกับกำมะถันในเตาที่มีความร้อน จึงทำให้ส่วนผสมนั้นแข็งตัวและยืดหยุ่นได้ และจากความบังเอิญนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของเขาให้เขาคิดและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากยางออกมาอย่างมากมาย นอกจากยางรถยนต์แล้วในผลิตภัณฑ์นั้นก็คือ รองเท้ากีฬาซึ่งนับเป็นรองเท้ากีฬาคู่แรกของโลก และได้พัฒนาจากการตัดเย็บด้วยมือมาเป็นเครื่องจักรในต้นศตวรรษที่ 19 จนกลายมาเป็นอุตสาหกรรมรองเท้าในที่สุด