วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทำไมไฟจราจรต้อง แดง เหลือง เขียว

-->


 ทุกคนเคยขับ รถ หรือนั่ง รถ ผ่านสี่แยกไฟแดง ถ้ารถติดยาวหรือเป็นช่วงเวลารีบเร่งและเราได้ไปพร้อมๆ กับรถคันอื่นๆ ก็คงไม่รุ้สึกอะไร แต่ถ้าเราเป็นรถคันสุดท้ายที่ไม่ได้ผ่านไปพร้อมกับคนอื่นๆ และกลายเป็นรถคันแรกแต่เราต้องรออีก 120 หรือ 180 วินาที จะรู้สึกยังไงกันบ้าง ทุกคนมีคำตอบในใจ

หลายๆคนอาจสงสัยว่า เอ...ทำไม สัญญาณไฟจราจรต้องเป็นสี แดงเหลืองเขียว
เป็นสี ฟ้า ชมพู น้ำเงิน ไม่ได้หรือย่างไร  เดี๋ยววันนี้ คุณหนูเจ้าปัญหาจะมาไขข้องข้องใจให้ครับ
ก่อนอื่นเราต้องรู้เรื่อง สีก่อนครับ
 
สี คือการรับรู้ความถี่ (หรือความยาวคลื่น) ของแสง ในทำนองเดียวกันกับที่ระดับเสียง (หรือโน้ตดนตรี) คือการรับรู้ความถี่หรือความยาวคลื่นของเสียง

มนุษย์สามารถรับรู้สีได้ เนื่องจากโครงสร้างอันละเอียดอ่อนของดวงตา ซึ่งมีความสามารถในการรับรู้แสงในช่วงความถี่ที่ต่างกัน การรับรู้สีนั้นขึ้นกับปัจจัยทางชีวภาพ (คนบางคนตาบอดสี ซึ่งหมายถึงคนคนนั้นเห็นสีต่างจากคนอื่น หรือไม่สามารถเห็นสีได้เลยมาแต่กำเนิด), ความทรงจำระยะยาวของบุคคลผู้นั้น, และผลกระทบระยะสั้น เช่น สีที่อยู่ข้างเคียง
บางครั้งเราเรียกแขนงของ วิชาที่ศึกษาเรื่องของสีว่า รงคศาสตร์ วิชานี้จะครอบคลุมเรื่องของการรับรู้ของสีโดยดวงตาของมนุษย์, แหล่งที่มาของสีในวัตถุ, ทฤษฎีสีในวิชาศิลปะ, และฟิสิกส์ของสีในสเปกตรัมแม่เหล็กไฟฟ้า
สำหรับที่ถามว่า ทำไมต้อง แดง เหลือง เขียว
 
ถ้าจะกล่าวต้องบอกได้ว่า มาตรฐานไฟจราจร สามสีนี้เป็นสากลที่ยอมรับกันทั่วโลก
เหตุผลหลัก มีได้ 2 ข้อใหญ่ๆ
1 เป็นหลักการทางจิตวิทยา
เนื่อง จากมนุษย์เรารู้จากสามัญสำนึกว่า
สีแดงหมายถึงอันตราย รู้สึกถึงความร้อน การไม่ปลอดภัย ดูอย่างไซเรนของหวอ ก็จะเป็นสีแดง หรือสัญญาณเตือนในหนังต่างๆ
สีเขียวปลอดภัย ชุ่มชื่น สบาย
2 เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์
เนื่องจากแสงสีแดงเป็นแสงที่มีความยาวคลื่น มากที่สุดทำให้เห็นได้ไกล จึงควรใช้เอาใว้ให้หยุด  ดังเช่นไฟเบรกเป็นต้น
 
ความ ยาวคลื่นของสีจะเรียงได้ตามสีของรุ้ง โดยสีรุ้งนั้นเรียงกัน คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
เรียงความยาวคลื่นจากน้อยไปมาก ดังนั้นสีที่มองเห็นแต่ไกลคือสีแดง ส่วนสีเขียว ก็คือคุ่ตรงข้ามแดง ไงละครับ
และสีอื่นๆที่ไม่นำมาใช้ ก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ประกอบเช่นกัน เช่นสีน้ำเงินหรือสีม่วง สีโทนทึบๆ
ไม่ ควรนำมาใช้ เพราะเวลามืดจะมองไม่ค่อยเห็นให้ทัศนวิสัยที่แย่กว่าสีอื่นๆ หรือเพราะความยาวคลื่นสั้นนั้นเอง

สังเกตุนะครับว่า สีที่ได้คัดเลือกให้เป็นมาตรฐานสากลนั้น จะไม่มีสีที่อยู่ในช่วงความยาวคลื่นสั้นเลย....
นั้นคือกลุ่มสีทึบนั้น เอง

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

LPG มาจากไหน


                      การรณรงค์การประหยัดน้ำมัน เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยทั้งประหยัดน้ำมันและเงินในกระเป๋าก็คือ    การที่รถยนต์ ส่วนใหญ่หันมาใช้แก๊ส ซึ่งแก๊สกับน้ำมันมีราคาต่างกันถึง 1 ใน 4 เท่า เพราะฉะนั้นจึงทำให้ รถยนต์ ส่วนใหญ่หันมาติดแก๊สกันมากขึ้น วันนี้ก็เลยจะแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้ที่มาขอแก๊ส LPG กันค่ะ
           LPG คืออะไร มันก็คือเชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนใช้แค่ในครัวเรือน หรือภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น LPG ย่อมาจาก Liquid Petroleum Gas หรือ แก๊สหุงต้มที่เราๆ ใช้กันในบ้าน เป็นสารองค์ประกอบจำพวกไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่ง มีการผสมกันของแก๊สหลักอยู่ 2 ชนิด คือ โพรเพน ( Propane ) C3H8 และ บิวเทน ( Butane ) C4H10 ถ้าถูกเก็บอยู่ในสภาวะแรงดันคงที่ จะมีสถานะเป็นของเหลว แรงดันจัดเก็บจะอยู่ที่ 120 – 160 Psi มีการขยายตัวกลายเป็นไอที่สูง คุณสมบัติด้อยกว่าน้ำมันเบนซินราวๆ 20% มีค่าอ็อกเทนราวๆ  103 – 105 จึงจุดสันดาปยากกว่าน้ำมันเบนชิน แต่การนำไปใช้งานในเครื่องยนต์สามารถทำได้ง่ายและมีมลภาวะต่ำ แต่เนื่องจากตัวมันเองไม่มีกลิ่นจึงไม่สามารถรู้ได้ว่ารั่วซึมหรือไม่ จึงมีการผสมกลิ่นเข้าไปเป็นสารให้กลิ่นจำพวกซัลเฟอร์ หรือ แก๊สไข่เน่านั่นเอง
                     แหล่งที่มาของ LPG คือหนึ่งในพลังงานจาก ฟอสซิล เช่นเดียวกับน้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติ และการจะได้มาซึ่ง LPG นั่นจะต้องอาศัยการกลั่นน้ำมันดิบ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า LPG นั้นเป็นผลพลอยได้จากการกลั่นน้ำมันโดยอัตโนมัติ เพราะว่าบริษัทกลั่นน้ำมันส่วนใหญ่ก็จะมุ่งไปที่น้ำมันซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทเหล่านั้น แต่การกลั่นน้ำมันก็ใช่ว่าจะเป็นหนทางเดียวกับการได้มาซึ่ง LPG เพราะว่า การขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากพื้นดินนั้น ปกติจะได้มาซึ่งก๊าซมีเทน 90% แต่ที่เหลือจะเป็น LPG เช่นกัน ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปกติบริษัทที่ขุด จะทำการแยก LPG ออกจาก มีเทนเสียก่อนที่จะส่งมีเทนไปใช้งานตามที่ต่างๆ


                      ไม่ว่าจะเป็นแก๊สธรรมชาติหรือน้ำมัน ทั้งสองอย่างก็เป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป และในกระบวนการสร้างต้องใช้เวลานานเป็นล้านๆ ปี ดังนั้นจึงอยากรณรงค์ให้ทุกๆ ท่านเห็นคุณค่าของเชื้อเพลิงเหล่านี้ ถ้ามีโอกาสที่จะช่วยกันประหยัดได้ก็ช่วยกัน เราจะได้มีพลังงานไว้ใช้นานๆ






























วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Facebook มาจากไหน


           เฟซบุ๊ก (อังกฤษ: Facebook) เป็นบริการเครือข่ายสังคมและ เว็บไซต์ เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ดำเนินงานและมีเจ้าของคือ บริษัท เฟซบุ๊ก (Facebook, Inc.)  จากข้อมูลเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 เฟซบุ๊กมีผู้ใช้ประจำ 500 ล้านบัญชี ผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว เพิ่มรายชื่อผู้ใช้อื่นในฐานะเพื่อนและแลกเปลี่ยนข้อความ รวมถึงได้รับแจ้งโดยทันทีเมื่อพวกเขาปรับปรุงข้อมูลส่วนตัว นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถร่วมกลุ่มความสนใจส่วนตัว จัดระบบตาม สถานที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ อื่น ๆ ชื่อของเฟซบุ๊กนั้นมาจากชื่อเรียกภาษาปากของสมุดที่ให้กับนักเรียนเมื่อเริ่มเแรกเรียนในสถาบันอุดมศึกษา ที่มอบให้โดยคณะบริหารมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถรู้จักผู้อื่นได้ดีมากขึ้น เฟซบุ๊กอนุญาตให้ใครก็ได้เข้าสมัครลงทะเบียนกับเฟซบุ๊ก โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
          เฟซบุ๊กก่อตั้งขึ้นโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ร่วมกับเพื่อนร่วมห้องในวิทยาลัยของเขาและเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ชื่อ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน, ดิสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวส์[4] เดิมทีสมาชิกของเว็บไซต์จะจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ก่อตั้งและนักเรียนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แต่ต่อมาขยับขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแถบบอสตัน, กลุ่มไอวีลีก, และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แล้วค่อย ๆ เพิ่มนักเรียนจากมหาวิทยาลับอื่น จนกระทั่งเปิดให้กับนักเรียนระดับไฮสคูล จนในที่สุดทุกคนก็สามารถเข้าสมัครได้โดยอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
          สำหรับติดต่อแลกข้อมูลข่าวสาร เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในช่วงแรกนั้นเฟซบุ๊กเปิดให้ใช้งานเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวออกไปสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา และตั้งแต่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ขยายมาสำหรับผู้ใช้ทั่วไปทุกคนเหมือนในปัจจุบัน
          จากการศึกษาของเว็บ คอมพีต.คอม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กถือเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุด เมื่อดูจากผู้ใช้ประจำรายเดือน รองลงมาคือ มายสเปซ เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้อยู่ในรายชื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในสิ้นทศวรรษ และควอนต์แคสต์ ประเมินว่า เฟซบุ๊ก มีผู้ใช้ต่อเดือนราว 135.1 ล้านคน นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554 จากเฟซบุ๊กมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 584,628,480 สมาชิกทั้วโลก โดยเป็นสมาชิกจากประเทศไทย รวม 6,914,800 สมาชิก

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รถยนต์มาจากไหน



รถยนต์มาจากไหน ????


ทุกวันนี้หลายคนคงรู้แล้วว่าถ้าพูดถึงรถยนต์ใครก็รู้จักและพอรู้ได้ว่าหน้าตาเป็นแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นรถมือสอง รถใหม่ และทะเบียนสวยๆ ที่ได้มาจากการประมูลซะส่วนใหญ่ แต่เืชื่อว่าอีกหลายคนยังไม่รู้ที่มาของรถยนต์ เรามาไขข้อสงสัยกันเลยดีกว่า.......


ย้อนกลับไปเมื่อ 100 ที่แล้ว รถยนต์คันแรกเข้ามาวิ่งในแผ่นดินสยามถือเป็นสิ่งแปลกใหม่บนท้องถนน คนยุคนั่นคงนึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นพาหนะสำคัญ จนเป็นปัจจัยที่ 5 ของผู้คนในยุคปัจจุบัน ธุรกิจรถยนต์ยุคเริ่มต้นมีเพียงรถอิมพอร์ตเจ้าของร้านเป็นฝรั่งต่างชาติไม่ กี่ร้านและแต่ละร้านก็สูญสลายไปใน เวลาต่อมาตำนานรถยนต์และธุรกิจรถยนต์ต่างเลือนไปจากความทรงจำของคนรุ่น ปัจจุบันเสียสิ้นจากฝรั่งสู่มือคนไทย รถคันแรกในเมืองบางกอก ปี 2406 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้ตัดถนนสายแรกในมหานครขึ้นคือถนนเจริญกรุง ตั้งต้นที่กำแพงพระบรมมหาราชวังเลียบฝั่งเจ้าพระยาไปสิ้นสุดที่บางคอแหลม หรือถนนตกในปัจจุบัน ในยุคนั้นมีเพียงรถลากและรถม้าเป็นเจ้าครองถนนสายแรกที่มีความยาว 6.5 กม.และในช่วง 30 ปีต่อมาก็มีการตัดถนนเพิ่มเพียงไม่กี่สาย ในปี 2435 ในยุคของรัชกาลที่ 5 ถนนในเมืองบางกอกรวมกันแล้วมีความยาวเพียง 12 กม. แม้ถนนบางสายจะมีความกว้างถึง 20 เมตรก็ตาม หากหลับตานึกภาพบนท้องถนนสมัยนั้นมีรถยนตร์มาวิ่งท่ามกลางรถม้าและ รถลากคงเกิดความโกลาหลไม่น้อย

การกำเนิดรถยนต์ในประเทศไทยและการที่พระราชวงศ์ไทยสนพระทัยในเรื่องรถยนต์ เป็นเรื่องที่อุบัติขึ้นแทบ จะเป็นเวลาเดียวกันกับช่วงเปลี่ยนศตวรรษเมื่อเริ่มมีการผลิตรถยนต์ในยุโรป และอเมริกาเหนือ รถยนต์คันแรกขึ้นบกที่ท่าเรืออู่บางกอก และมีการขับไปตามท้องถนนท่ามกลางสายตาของประชาชนที่เฝ้ามองอย่างพิศวง รถยนต์สมัยต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นรถยี่ห้อใด คันเกียร์และคันห้ามล้อ ติดตั้งอยู่นอกตัวถ้งด้านขวามือของผู้ขับ รถยนต์อันเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษที่ 20 เข้ามาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อใดยังเป็นข้อถกเถียงไม่สิ้นสุด แต่เชื่อกันว่าเป็นชาวต่างชาติเป็นผู้สั่งเข้ามาเป็นคนแรก รถคันนี้มีลักษณะคล้ายกับรถบดถนนในปัจจุบัน มีล้อเป็นยางตัน หลังคาคล้ายปะรำ ที่นั่ง 2 แถว ใช้น้ำมันปิโตเลียมเป็นเชื้อเพลิงและรถมีกำลังเพียงวิ่งตามพื้นราบ ไต่ขึ้นเนินสะพานไม่ได้ การใช้งานของรถคันแรกจึงมีขีดจำกัดเพราะท้องถนนเมืองบางกอกเต็มไปด้วยสะพาน ข้ามคลองสูง เพื่อให้เรือลอดผ่านได้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของรถยนต์ยุคนั้น

รถยนต์คันแรกสามารถปลุกเร้าความสนใจของคนไทยและคนต่างชาติได้เป็นอย่างดี ต่อมาไม่นานเจ้าของรถคันดังกล่าวก็ขายต่อให้จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ถือเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ท่านจอมพลฯ ซื้อรถยนต์มาทั้งที่ขับไม่เป็นจึงต้องให้ท่านพระยาอนุทูตวาที (เข็ม แสงชูโต) น้องชายเป็นผู้ขับแทน เชื่อกันว่าพระยาอนุทูตวาทีเป็นคนไทยคนแรกที่ขับรถยนต์ได้ เนื่องจากเคยทำงานที่ประเทศอังกฤษจึงมีโอกาสได้ขับรถยนต์ ต่อมาก็สอนคนอื่นเรียนรู้การขับรถยนต์อย่างแพร่หลาย หลังการซื้อรถมาเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้มีโอกาสขับโลดแล่นไปตามท้องถนน เมืองบางกอกอยู่หลายปีก่อนที่รถคันแรกจะเสื่อมสูญไปตามกาล ยุคนั้นผู้ที่สั่งรถเข้ามาจะเป็นพระราชวงศ์เป็นส่วนใหญ่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2411 พระองค์ทรงสนพระทัยเรื่องรถยนต์เป็นอย่างมาก และพระราชวงศ์หลายพระองค์ก็มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติยานยนต์ของไทย ปี 2447 มีรถยนต์ 3 คันเข้ามาวิ่งในถนนบางกอก แต่ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรและใครเป็นเจ้าของ

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไข่ปลาคาเวียร์มาจากไหน





หลายคนคงสงสัยว่า ไข่ปลาคาเวียร์ที่เรารับประทานกันอยู่นี้ มาจากปลาอะไร???  ซึ่งก็สามารถประกอบอาหารได้หลายเมนู ที่คุ้นรสชาติกันดีก็คือ นำไปทำซูชิ ไม่ว่าจะนั่งเล่นเกมส์ เกมแต่งตัว เกมส์ยิง ฯลฯ ก็หยิบมากินได้ เราไปหาคำตอบกันเลยดีกว่า ว่าไข่ปลาคาเวียรนั้นมาจากปลาอะไร .....

"... ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ด Acipenseriformes อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด

สเตอร์เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สเตอร์เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด

สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด (Species) ใน 3 สกุล (Genus) โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย

คา เวียร์ หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดใน โลก คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า ???‌??? (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้หมายถึงปลาสเตอร์เจียน

ในปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียง จะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสี โดยคาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป และทำให้เกิดการสูญพันธุ์..."

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผัดไทยมาจากไหน


ผัดไทยนั้นเป็นอาหารที่ใครๆก็รู้ัจักหน้าตาและรสชาติกันดี แต่น้อยนักที่จะรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าผัดไทยจานนี้  บ้างก็รับประทานเป็นอาหารเย็น เป็นอาหารจานด่วนทันใจ ไม่ว่าจะนั่งเล่นเกมส์   เกมส์ยิง   เกมแต่งตัว ก็สั่งรอกินได้เลย จะว่าไปแล้วเรามารู้จักกับผัดไทยให้มากขึ้นกันดีกว่า
 
ผัดไทย มีมาแต่โบราณในชื่อ "ก๋วยเตี๋ยวผัด" ผัดไทยนั้นกลายเป็นที่รู้จักของคนต่างชาติตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมานิยมรับประทานก๋วยเตี๋ยว เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ เนื่องจากในช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ข้าวแพง และได้เปลี่ยนชื่อก๋วยเตี๋ยวผัดเป็น "ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย" ตามชื่อใหม่ของประเทศ ปัจจุบันเรียกกันโดยย่อเหลือเพียงแค่ "ผัดไทย" ในต่างประเทศ อาทิในประเทศยุโรป และอเมริกา ผู้คนนิยมกินกันมาก และเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงความเป็นอาหารไทยได้เป็นอย่างดี เพราะชื่ออาหารที่เรียกง่ายและ บ่งบอกถึงความเป็นไทยอย่างชัดเจนนั้น ทำให้ผัดไทยได้กลายเป็นอาหารสากลที่ชาวต่างชาติรู้จักกันดีและนิยมรับประทาน ทุกครั้งที่ชาวต่างชาติเข้าไปร้านอาหารไทย ต้องมีการสั่ง "ผัดไทย" อย่างแน่นอน จึงทำให้ร้านอาหารไทยในต่างแดนขาย ผัดไทยต่อวันไม่ต่ำกว่า 1,000 จานเลยทีเดียว

หน้า ตาของผัดไทยอาจจะเหมือนไปทางอาหารจีน เพราะใช้เส้นก๋วยเตี๋ยวผัด แต่จริงๆ แล้ว ผัดไทยเป็นอาหารที่เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของคนไทยแท้ๆ มิหนำซ้ำยังเกิดในช่วง “รัฐนิยม” สมัยจอมพล ป.พิบูลย์สงครามเสียด้วย
      

ผัดไทย ประกอบด้วย เส้นเล็ก เต้าหู้เหลืองซอย กุ้งแห้ง ใบกระเทียม ไข่ลง ถั่วงอกดิบ สมัยนี้ยังมีผัดไทยกุ้งสด บางทีก็ผัดไทยห่อไข่ด้วย แถมบางเจ้ามีผัดไทยใส่หมูเสียด้วย แต่รู้ไหมว่าผัดไทยที่เป็นไทยแท้ๆ นั้น ต้องไม่ใส่หมูเด็ดขาด เหตุผลก็เพราะว่าคนในสมัย “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” เขามองว่าหมูเป็นอาหารของคนจีน คนไทยนานๆ ถึงจะกินหมูสักที ดังนั้น เนื้อหมูเลยหมดสิทธิ์มาอยู่ในจานอาหารไทยรัฐนิยม

ผลพวงของนโยบายชาตินิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ได้ก่อกำเนิดอาหารขึ้นมาชนิดหนึ่งและเหลือมาถึงปัจุบัน อาหารชนิดนั้นเกิดขึ้นเพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าในสมัยนั้น "ก๋วยเตี๋ยว" เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีร้านก๋วยเตี๋ยวทั้งแบบตั้งอยู่กับที่และแบบเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นทางรถเข็น หรือทางเรือก็ตาม ซึ่งก๋วยเตี๋ยวนั้นจอมพล ป. เห็นว่าเป็นอาหารที่มีพื้นแพ มาจากประเทศจีน

ในช่วงนั้นรัฐบาลพยายามอย่างมาก ที่จะถอดถอนความเป็นจีนออกจากคนไทยเชื้อสายจีนทั้งหลายที่อยู่ในประเทศไทย ถึงกับมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการสอนหนังสือจีน ในเมืองไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ยากแก่การปราบปรามก็คือ "ก๋วยตี๋ยว" นี่เอง ทำให้ก๋วยเตี๋ยวเป็นหนามตำใจของรัฐบาลในขณะนั้น

แต่ในที่สุดรัฐบาลก็ได้คิดค้นอาหารขึ้นมาชนิดหนึ่งเพื่อจะส่งเสริมให้ ประชาชนนำไปทำมาค้าขายแทนที่การขายก๋วยเตี๋ยว (จีน) โดยอาหารชนิดนี้พยายามสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองที่ตรงกันข้ามกับก๋วยเตี๋ยว (จีน) เราก็ได้ "เส้นจันท์" ขึ้นมา ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะแก่การผัดในกระทะ ก๋วยเตี๋ยว (จีน) มักจะกินเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ อาหารนี้กินแบบแห้งเท่านั้น (เพราะใช้ในการผัด) และสุดท้ายเพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าอาหารนี้เป็น อาหารของคนไทยอย่างแน่นอน จึงตั้งชื่อว่า "ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย"

ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยจึงเป็นอาหารที่เกิดขึ้นมาภายใต้วัฒนธรรมแบบชาตินิยมที่ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามพยายามสร้างขึ้นโดยแท้ เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมการกินแบบชาตินิยม ก็เห็นจะไม่ผิดไปจากความจริง

สำหรับผู้ที่อยากกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทให้เป็นแบบชาตินิยมแท้ๆ ก็ขอบอกว่าต้องเป็นผัดไทกุ้งสดเท่านั้น ที่ใส่หมูแทนกุ้งนั้นมันไม่ใช่สูตรนิยมจริงๆ เพราะหมูถูกมองว่าเป็นอาหารของคนจีน คนไทยนั้นนานๆ ทีจึงกินหมู กินเฉพาะเวลางานฉลองสำคัญจึงฆ่าหมูมากินกัน คนไทยแต่เดิมนั้นกินไก่ กินปลาเป็นหลัก เมื่อผัดไทยได้ชื่อว่าผัดไทย หมูจึงไม่มีสิทธิมาอยู่ในจานผัดไทย

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มาม่ามาจากไหน






มาม่าหรือที่เรียกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่ใครๆก็รู้จักกันดี รับประทานง่ายๆ เพียงฉีกซองแล้วนำไปต้ม ทิ้งไว้ 3นาที มีหลายรสชาติ ได้ลิ้มลองรสกัน และสามารถดัดแปลงตามเมนูโปรดได้เอง ราคาไม่แพงจึงทำให้คนส่วนใหญ่มักซื้อและหาทานกันได้ง่าย ไม่ว่าจะนั่งเล่นเกมส์ , เกมส์ยิง , เกมแ่ต่งตัว ต้มทิ้งไว้แค่ 3 นาีที ก็ทานได้แ้ล้ว และมาม่าก็เป็นเมนูโปรดของใครๆหลายคน ตั้งแต่วันนี้ไปเราก็ใช่ว่าจะรู้เพียงแค่มาม่าอร่อยและราคาถูก ซึ่งวันนี้เราก็จะได้รู้ประวัติคร่าวๆของเค้าด้วย

ประวัติความเป็นมา

บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เริ่มก่อตั้งโดย ดร.เทียม โชควัฒนา ในปี พ.ศ. 2485
ภายใต้ชื่อ “เฮียบเซ่งเชียง” ที่ตรอกอาเนียเก็งถนนทรงวาดด้วยเงินทุนเพียง 10,000 บาท โดยเริ่ม
จากการขายของเบ็ดเตล็ดที่สั่งซื้อจากฮ่องกง

ต่อมาได้ขยายกิจ การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศในปี 2495 “เฮียบเซ่งเชียง” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด ด้วย ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

โดยนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคนานาชนิดมาจำหน่ายต่อมาได้สร้างโรงงานโดยร่วมทุนกับบริษัท ไลอ้อน ประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตยาสีฟ้น แชมพู ผงซักฟอก และได้สร้างโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า

ความสำเร็จของผงซักฟอกเปาบุ้นจิ้น และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่านั้น ทำให้
บริษัทสหพัฒนพิบูล เริ่มขยายโรงงานไปที่ศรีราชา และ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์           แห่งประเทศไทยเป็นบริษัท มหาชนด้วยเงินทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาทในปีพ.ศ. 2521

ต่อมา ในปี พ.ศ. 2531 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 200 ล้านบาท จนกระทั่ง ปัจจุบัน
บริษัทมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ชาดำเย็นมาจากไหน









          การดื่มชาใส่น้ำแข็งเริ่มขึ้นในงานมหกรรมโลกซึ่งมีการละเล่นมากมายไม่ว่าจะเป็น เต้นรำ, เล่นเกมแต่งตัว , การละเล่นพื้นบ้าน ที่เซนต์หลุยส์ ปี ค.ศ. 1904 โดยหนุ่มอังกฤษ ชื่อริชาร์ด เบลชินเดรน (Richard Blechyndren) ช่วงนั้นอากาศร้อนมากเขาขายน้ำชาร้อนๆไม่ออก จึงรินน้ำชาราดลงไปบนก้อนน้ำแข็ง

          ชาติแรกที่ เติมนมในชา คนฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่เติมนมสดในน้ำชา
ชาถุง (tea bag) กล่าวกันว่าชาใส่ถุงจะให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค ผู้ค้นพบวิธีเอาชาใส่ถุงคือคนจีน โดยบรรจุลงถุงผ้าไหมส่งไปลอนดอนแต่เอกสารหนึ่งกล่าวว่า โทมัส ซุลละแวน (Thomas Sullivan) เป็นผู้คิดค้นถุงใส่ชาที่แสนอำนวยความสะดวกและเหมาะสมกับรสนิยมคนรุ่นใหม่
ชาบรรจุกระป๋อง เพื่อเอาใจผู้บริโภคที่เดินทางไกล หรือคนที่งานยุ่งไม่สนใจการกินอยู่ โรงงานอุตสาหกรรมได้เอาน้ำชาใส่กระป๋องเป็นครั้งแรก พ.ศ. 2483 ประเทศไทยพัฒนาเป็นครั้งแรกคือ  ชากระป๋องลิปตัน เมื่อ พ.ศ. 2531 ด้วยการเติมกลิ่นมะนาวลงไป เมื่อดื่มตอนเย็นจัดมีรสชาติกลมกล่อมยิ่ง

          เมี่ยง เป็นผลิตภัณฑ์ชาที่ผ่านการนึ่งและหมักอย่างหนึ่งของคนไทยภาคเหนือ คนลาวและคนพม่า อาจกินเมี่ยงแบบเปรี้ยวๆ หรือโรยเกลือใส่เล็กน้อยก็จะเสริมรสชาติ เมี่ยงมีบทบาทในชีวิตจนเกิดคำพังเพยว่า "เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม" ปัจจุบันเมี่ยงถูกลดบทบาท เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจน้อยลง
         กากเมล็ดชา มีสารซาโปนีน (Saponin) ใช้สระผมและล้างสิ่งสกปรกออกจากเรือนผม ทำให้เส้นผมเป็นมัน ส่วนกากใบชาที่ชงแล้วนำมาพอกแผลน้ำร้อนลวกได้ น้ำมันจากเมล็ดชาทำเนยเทียมได้

          กำเนิดปั้นชา ยุคแรกๆ ชาวจีนดื่มชา จะใช้หม้อต้มและเทลงดื่มในชาม ต่อมาประมาณต้นศตวรรษที่ 16 มีการค้นพบปั้นชาขึ้นใกล้เมืองอี๋ชิงมณฑลเจียงซูโดยเด็กรับใช้คุณชายตระกูลอู๋ที่กำลังจะเดินทางไปสอบจอหงวน ได้แวะพักที่วัดจิน ซา ที่วัดนี้มีเตาเผาเพราะพระจะปั้นภาชนะดินใช้เอง วันหนึ่งหลังการเตรียมชงน้ำชาให้คุณชายท่องหนังสือเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ชื่อ กงชุน ได้หลบมาพักผ่อนและเห็นพระปั้นภาชนะดินอยู่ จึงเข้าร่วมวง ปั้นไปปั้นมา ปั้นเอาภาชนะทรงกลมมีฝาปิดด้านบนเติมหูจับ ต่อพวยกาออกมา กลายเป็นอุปกรณ์ชงชาและกรองใบชาใบแรกของโลก และยังเป็นต้นแบบของภาชนะชงชาชุดเครื่องเงินของราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษอีกด้วย

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผ้าไหมมาจากไหน



..........ไหมเป็นแมลงประเภทผีเสื้อตัวหนอนไหมกินพืชเกมแต่งตัวได้หลายชนิด แต่ชอบกินใบหม่อนมากที่สุด ทว่าหม่อนจัดเป็นพืชยืนต้นซึ่งเจริญเติบโตค่อนข้างช้า ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่เลี้ยงไหม จึงมักปลูกสวนหม่อนควบคู่ไปด้วยอยู่เสมอ เชื่อกันว่ามนุษย์เริ่มเลี้ยงไหมเป็นครั้งแรก ในประเทศจีนเมื่อประมาณ5,000ปีมาแล้ว วงจรชีวิตของไหมประกอบด้วย ระยะที่เป็นไข่ระยะตัวหนอนระยะดักแด้ และระยะผีเสื้อคุณสมบัติพิเศษของตัวไหมคือ ช่วงระะยะซึ่งเป็นดักแด้ ตัวหนอนจะสร้างรังไหมห่อหุ้มตัวเอง และรังไหมนี่เองที่สามารถสาวออกมาเป็นเส้นใยเส้นเล็กๆ ซึ่งมีความเหนียว และเป็นมันวาวสวยงาม เหมาะต่อการนำไปทอเป็นผืนผ้าพันธุ์ไหม ในประเทศไทยที่ชาวบ้านนิยมเลี้ยงกันมีอยู่ 3 ชนิด คือ

1. ไหมพันธุ์ไทย เป็นไหมพื้นเมือง ชาวบ้านเลี้ยงเพื่อใช้ทอผ้าไหมพื้นบ้าน รังไหมของไหมพันธุ์ไทยสีออกเหลืองตุ่น มีขนาดเล็ก หัว ท้ายแหลม
คล้ายกระสวยให้ผลผลิตต่ำ เส้นไหมมีขนาดโต แต่ก็ความแข็งแรงเหนียวแน่น

2. ไหมพันธุ์ไทยลูกผสม เป็นพันธุ์ไหมที่เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับไหมพันธุ์ต่างประเทศ รังไหมพันธุ์นี้มีสีเหลืองสด ขนาดใหญ่ ให้ผล
ผลิตสูงกว่าไหมพันธุ์ไทย และเส้นใยมีขนาดเล็กกว่าไหมพื้นเมือง

3. ไหมพันธุ์ต่างประเทศลูกผสม เป็นพันธุ์ไหมจากการผสมระหว่างพันธุ์ญี่ปุ่นและพันธุ์จีน รังไหมมีสีขาว ขนาดใหญ่ ลักษณะกลมรีคล้ายรูปไข่
เปลือกรังหนา ให้ผลผลิตสูง เส้นใยละเอียดเหนียวแน่น นิยมเลี้ยงเพื่อส่งไปจำหน่ายยังโรงงานสาวไหม.




วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ฝนมาจากไหน






ฝนตกเกิด จาก น้ำโดนความร้อนของแสงจากดาราดวงอาทิตย์หรือความร้อนอื่นใดที่ใช้ในการต้มน้ำ จนทำให้ระเหยกลายเป็นไอน้ำ ลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อไอน้ำมากขึ้นจะรวมตัวกันเป็นละอองน้ำเล็กๆ ปริมาณของละอองน้ำยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆก็จะรวมตัวกันเป็นเมฆฝน พอมากเข้าอากาศไม่สามารถพยุงละอองน้ำเหล่านี้ต่อไปได้ น้ำก็จะหล่นลงมายังผืนโลกให้เราเรียกขานกันว่าฝนตก วัฏจักรของน้ำที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่โลกใบกลมของเราเกิดขึ้นมา และคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆชั่วกัปกัลป์    
    

 ฝน ที่ตกลงมานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของวัฏจักรของอุทกวิทยา ซึ่งน้ำจากผิวน้ำในมหาสมุทรระเหยกลายเป็นไอ ควบแน่นเป็นละอองน้ำในอากาศ ซึ่งรวมตัวกันเป็นเมฆ และในที่สุดตกลงมาเป็นฝน ไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง ไปสู่ทะเล มหาสมุทร และวนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด      


ปริมาณน้ำฝนนั้นวัดโดยใช้ มาตรวัดน้ำฝน โดยเป็นการวัดความลึกของน้ำที่ตกลงมาสะสมบนพื้นผิวเรียบ สามารถวัดได้ละเอียดถึง 0.25 มิลลิเมตร หรือ 0.01 นิ้ว บางครั้งใช้หน่วย ลิตรต่อตารางเมตร (1 L/m? = 1 mm) เกิดจากอนุภาคของไอน้ำขนาดต่างๆในก้อนเมฆเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไม่สามารถลอยตัว อยู่ในก้อนเมฆได้ก็จะตกลงมาเป็นฝน ฝนจะตกลงมายังพื้นดินได้นั้นจะต้องมีเมฆเกิดในท้องฟ้าก่อน เมฆมีอยู่หลายชนิด มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้มีฝนตก เราทราบแล้วว่าไอน้ำจะกลั่นตัวเป็นเมฆก็ต่อเมื่อมีอนุภาคกลั่นตัวเล็กๆอยู่ เป็นจำนวนมากเพียงพอและไอน้ำจะเกาะตัวบนอนุภาคเหล่านี้รวมกันทำให้เกิด เป็นเมฆ เมฆจะกลั่นตัวเป็นน้ำฝนได้ก็ต้องมีอนุภาคแข็งตัว(Freezing nuclei) หรือเม็ดน้ำขนาดใหญ่ซึ่งจะดึงเม็ดน้ำขนาดเล็กมารวมตัว กันจนเป็นเม็ดฝน สภาวะของน้ำที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอาจเป็นลักษณะของฝน,ฝน ละอองหิมะหรือลูกเห็บซึ่งเรารวมเรียกว่าน้ำฟ้าจะตกลง มาในลักษณะไหนขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของอากาศในพื้นที่นั้นๆ น้ำฟ้าต้องเกิดจากเมฆ ไม่มีเมฆไม่มีน้ำฟ้าแต่เมื่อมีเมฆไม่จำเป็นต้องมีน้ำฟ้า เสมอไปเพราะเมฆหลายชนิดที่่ลอยอยู่เฉยๆไม่ตกลงมา มีเมฆบางชนิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดน้ำฟ้า          


โดยปกติแล้ว ฝนจะมีค่า pH ต่ำกว่า 6 เล็ก น้อย เนื่องมาจากการรับเอาคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเข้ามาซึ่งทำให้ส่งผลเป็นกรดคา ร์บอนิก ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั้นฝุ่นในอากาศจะมีปริมาณแคลเซียมคาร์บอเนตสูง ซึ่งส่งผลต่อต้านความเป็นกรด ทำให้ฝนนั้นมีค่าเป็นกลาง หรือ แม้กระทั่งเป็นเบส ฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่า 5.6 นั้นถึอว่าเป็น ฝนกรด (acid rain)

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กระเพาะปลามาจากไหน






กระเพาะปลา เป็นอาหารจานโปรดของใครๆหลายคน ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือดาราก็ชอบทานกัน     แต่รู้หรือไม่ว่า อาหารจานโปรดนั้น ที่มาของกระเพาะปลามาจากไหน ว่าแล้วก็ไปรู้ความเป็นมาของเจ้ากระเพาะปลากันเลยจ้า


เวลาที่เกิดหิวขึ้นมาตอนดึกๆ แต่ไม่อยากกินอะไรให้หนักท้องมากนัก "108 เคล็ดกิน" มักนึกถึงกระเพาะปลาร้อนๆ สักถ้วยกินให้อุ่นๆท้อง กินไปก็สงสัยไปว่าทำไมจึงเรียกว่า "กระเพาะปลา" ทั้ง ที่จริงๆแล้วมันคือถุงลมที่ช่วยในการดำน้ำของปลาต่างหาก ซึ่งกระเพาะปลาที่เรานำมากินกันนั้นก็มาจากปลาหลายชนิด ทั้งปลากุเลา ปลากะพง ปลาอินทรี ปลาไหลทะเล ฯลฯ ซึ่งราคาก็จะถูกแพงต่างกันไป ยิ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกก็จะยิ่งแพงมากขึ้น

      ชาวจีนรู้จักกินกระเพาะปลามานานกว่า 1,600 ปีแล้ว และยังใช้กระเพาะปลาเป็นเครื่องบรรณาการที่หัวเมืองแถบชายฝั่งทะเลจะต้องจัด ถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินจีนมาตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรถัง นอก จากนั้นตำรายาจีนยังถือว่ากระเพาะปลาเป็นยาชูกำลัง มีสรรพคุณในการเสริมหยิน บำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้พลังงาน แก้อาการตกเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้มีพละกำลัง

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

น้ำบนดาวเสาร์มาจากไหน




กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชลขององค์การอวกาศยุโรปดาราหรือ ESA  ได้ตรวจพบว่าดวงจันทร์     เอนเซลาดัสของดาวเสาร์พ่นน้ำออกมาสู่วงแหวนของดาว เสาร์

การค้นพบนี้ได้ตอบคำถามที่ยืนยาวนานถึง 14 ปีว่าน้ำบนดาวเสาร์มาจากไหน หลัง จากที่มีการค้นพบ ว่าบรรยากาศชั้นบนของดาวเสาร์มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

ดวงจันทร์เอนเซลาดัสนับเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีอิทธิพลทางเคมีต่อดาวเคราะห์แม่
ดวงจันทร์เอนเซลาดัสพ่นไอน้ำจำนวนประมาณ 250 กิโลกรัมทุกวินาทีออกมาทางขั้ว ใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นผิวที่นักดาราศาสตร์เรียกกัน ว่า ”ลายพาดกลอน” ของเอนเซลาดัส      ซึ่งเรียกตามลักษณะที่เป็นเส้นหลายเส้นขนาน กัน

ไอน้ำที่พ่นออกมาได้ก่อรูปเป็นเมฆไอน้ำขนาดมหึมารูปโดนัทล้อมรอบดาวเสาร์ โด นัทนี้กว้างใหญ่กว่ารัศมีของดาวเสาร์ถึงกว่า 10 เท่า แต่มีความหนาประมาณ รัศมีของดาวเสาร์เท่านั้น เอนเซลาดัสโคจรรอบดาวเสาร์โดยอยู่ห่างจากดาวเสาร์ ประมาณเท่ากับ 4 เท่าของรัศมีดาวเสาร์เอง พร้อมกับพ่นน้ำเป็นพวยออกมาเติม ให้แก่ก้อนเมฆนี้ตลอดเวลา

แม้เมฆรูปโดนัทนี้จะมีขนาดใหญ่โตมหึมา แต่ไม่มีใครเคยตรวจพบก้อนเมฆนี้มา ก่อนเลย เนื่องจาก  ไอน้ำโปร่งใสในย่านแสงที่ตามองเห็น แต่มองเห็นได้ในย่าน รังสีอินฟราเรดที่กล้องเฮอร์เชลรับรู้ได้
นักดาราศาสตร์พบน้ำในบรรยากาศของดาวเสาร์เป็นครั้งแรกในปี 2540 โดยกล้องไอเอสโอขององค์การอีซา ในครั้งนั้นได้ทำให้นักดาราศาสตร์ต่างงุนงงว่าน้ำนั้นมาจากไหน จนกระทั่งเฮอร์เชลค้นพบเบาะแสคำตอบในครั้งนี้ จากการสร้างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์เผยว่าน้ำประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ที่พ่นออกมาจากเอนเซลาดัสจะตกลงสู่ดาวเสาร์ แม้จะเป็นส่วนน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นปริมาณที่มากพอจะอธิบายถึงแหล่งที่มาของน้ำที่พบบนดาวเสาร์ ได้ ไอน้ำที่ส่วนที่เหลือบางส่วนจะลอยออกไปในอวกาศ บางส่วนจะคงอยู่ในวงแหวน และบางส่วนก็ตกลงไปบนดวงจันทร์ดวงอื่นด้วย

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รุ้งกินน้ำมาจากไหน



 
ม่วง ฟ้า คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง
จ็ดสีที่ทุกคนคงเคยเห็นบนท้องฟ้าหลังวันที่ฝนตก แต่รู้หรือไม่ว่ารุ้งกินน้ำมาจากไหนและเกิดขึ้นได้อย่างไร?

รุ้งกินน้ำ เกิด จากการหักเหของแสงผ่านหยดน้ำที่ล่องลอยในอากาศ  เมื่อเรามองด้วยตาเปล่าจะเห็นแสงอาทิตย์เป็นสีขาวแต่ในความเป็นจริงนั้นแสง อาทิตย์ประกอบด้วยแสงสีต่างๆ 7 สีอันได้แก่ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสดและสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับผิวของหยดน้ำฝนก็จะเกิดการหักเหของแสงแยกออกเป็น สีสันต่างๆ แสงแต่ละสีจะหักเหไปด้วยมุมต่างๆ  กันขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นโดยที่แสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากที่สุดแต่จะหัก เหด้วยมุมน้อยที่สุดขณะที่แสงสีม่วงมีความยาวคลื่นสั้นที่สุดจะหักเหมากที่ สุด รุ้งกินน้ำที่เกิดจากการสะท้อนของแสงแดดจากหยดน้ำในก้อนเมฆที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า โดยที่แสงสีแดงจะอยู่บนสุดสีม่วงจะอยู่ล่างสุด


ทำไมรุ้งถึงเป็นเส้นโค้ง?รุ้งกินน้ำที่ เกิดขึ้นทำใมถึงมีลักษณะโค้งก็เนื่องมาจากหยดน้ำที่ทำ ให้เกิดรุ้งกินน้ำนั้นมีลักษณะกลม และผู้สังเกตจะพบว่า เวลาเรามองดูรุ้งกินน้ำขณะที่เราอยู่บนพื้นดิน เราจะเห็นเพียงครึ่งวงกลมเท่านั้น เนื่องจากรัศมีในการมองเห็นของแสงที่สะท้อน  แต่ถ้าหากผู้สังเกตอยู่บนที่สูงเช่นยอดเขา   หรือหากให้ดีบนเครื่องบินผู้สังเกตจะพบเห็นรุ้งกินน้ำเป็นวงกลมเลยทีเดียว


รุ้งกินน้ำเกิดเฉพาะหลังฝนตกจริงหรือ ? ไม่จำเป็นเสมอไปว่ารุ้งกินน้ำจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณฝน ที่ตกเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นได้ในบริเวณน้ำตก โดยที่น้ำตกนั้นมีละอองน้ำล่องลอยในอากาศและผู้สังเกตอยู่บริเวณด้านล่างจาก ละอองน้ำที่ล่องลอย และแสงแดงทะลุผ่านก็ทำให้เกิดเห็นรุ้งกินน้ำได้อีกเช่นกัน   นอกจากนั้นรุ้งอย่างเดียวกันนี้ยังอาจเห็นได้จากฟองไอน้ำของน้ำตก จากฟองไอน้ำที่เราพ่นออกมาจากปาก  ในด้านตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์   และในแท่งแก้วรูปสามเหลี่ยมเมื่อวางรับแสงแดด 

 

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ยาหม่องมาจากไหน




ชื่อของ Hawpar Group ในประเทศไทย อาจไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางนักแต่หากเอ่ยถึงยาหม่องตราเสือ และน้ำมันกวางลุ้ง สินค้าทั้ง 2 กลับเป็นที่รู้จักกันมากกว่า

ทั้งยาหม่องตราเสือ และน้ำมันกวางลุ้ง เป็นสินค้าซึ่งคิดค้น และผลิตโดย Hawpar โดยเฉพาะยาหม่องตราเสือนั้นเป็นสินค้าชิ้นแรกที่ Hawpar คิดค้นขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อเกือบ 100 ปีก่อนและมีผลให้ Hawpar สามารถขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างขวาง และยิ่งใหญ่ในปัจจุบันรวมถึงทำให้คนไทย เรียกขานยาที่สามารถรักษาได้สารพัดอาการ ซึ่งทำมาจากน้ำมันเข้มข้น เมื่อนำมาถูนวดแล้วมีความร้อน ว่า "ยาหม่อง"

Hawpar Group ถือกำเนิดขึ้นจาก Aw Boon Haw (Tiger) และ Aw Boon Par (Leopard) 2 พี่น้องลูกชายของ Aw Chu Kin แพทย์แผนโบราณ (ซินแส) ชาวเมืองเอหมึง มลฑลฮกเกี้ยนที่อพยพไปหากินโดยเปิดร้านรับรักษาคนไข้อยู่ในกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1800

ทั้งคู่เกิดในพม่า โดย Aw Boon Haw เกิดในปี 1882 และ Aw Boon Par เกิดในปี 1888
ในวัยเด็กทั้งคู่ถูกส่งเข้าศึกษาในโรงเรียนของคนอังกฤษที่อยู่ในพม่า


เมื่อปี 1908 Aw Chu Kin บิดาของทั้งคู่เสียชีวิต 2 พี่น้อง Boon Haw และ Boon Par จึงได้เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองโดยการผสมผสานวิทยาการสมัยใหม่จากทางตะวันตก กับวิชาความรู้ทางแพทย์แผนโบราณที่ได้รับสืบทอดต่อจากบิดาโดยการผลิตยาหม่อง ตราเสือซึ่งมีความหมายตามชื่อของทั้งคู่ออกมาจำหน่าย

กิจการของทั้งคู่ประสบความสำเร็จ ยาหม่องตราเสือได้รับความนิยมไม่เฉพาะแต่ในพม่าแต่ยังถูกส่งออกมาขายใน ประเทศใกล้เคียง ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทยในปี 1920 ทั้งคู่ซึ่งเพิ่งมีอายุได้ไม่ถึง 40 ปี ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนจีนที่ร่ำรวยที่สุดคู่หนึ่งในกรุงย่างกุ้ง

ในปี 1926 ทั้งคู่ได้ขยายมาเปิดโรงงานในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการขยายกิจการออกนอกประเทศพม่าเป็นครั้งแรกจนกระทั่งเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2 โรงงานของทั้ง 2 พี่น้อง ทั้งที่อยู่ในพม่าและสิงคโปร์ต้องปิดลงชั่วคราว และอพยพไปลี้ภัยอยู่ในฮ่องกง

Boon Par ได้เสียชีวิตลงก่อนสงครามโลกสิ้นสุดเพียง 1 ปี เมื่อสงครามสงบ Boon Haw ผู้พี่ได้กลับมาเปิดโรงงานที่สิงคโปร์ใหม่ และเริ่มต้นขยายธุรกิจออกไปได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจเพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกิจการธนาคารที่ชื่อว่า Chung Khiaw Bank

ปี 1954 Boon Haw เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย ทิ้งกิจการซึ่งได้ขยายกลายเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ไว้ให้กับคนรุ่นลูกเป็นผู้ดูแลแต่ในเจเนอเรชั่นที่ 2 ไม่สามารถรักษาความเป็นเจ้าของไว้ได้ หลังจาก Hawpar Group ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ในปี 1969 กิจการของ Hawpar Group ก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่หลายครั้ง

ครั้งหนึ่งบริษัทแจ๊กเจีย อุตสาหกรรมของไทย ได้เคยเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 16% และเคยนำยาหม่องตราเสือเข้ามาผลิตในประเทศไทย แต่ภายหลังหุ้นดังกล่าวก็ถูกเปลี่ยนมือโดย United Overseas Bank (UOB) ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30% ในปี 1981 และยังคงความเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 43%


และนี่คือที่มาของคำว่า "ยาหม่อง"

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หมากฝรั่งมาจากไหน




หมากฝรั่ง เกิดจากนายพลอันโตนิโอ โลเปช เอ็กซ์ ซานตา อันนา แห่งกองทัพเม็กซิโก ซึ่งเดินทางมาอยู่ในอเมริกา และนำยางต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกชื่อว่า ยางชิคลิ (chicli) มาด้วย ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่พวกอาซเท็ก

ต่อมาเมื่อเดือนก.พ. ปี 2414 โทมัส อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ เห็นว่าหมากฝรั่งที่นายพลซานตาเคี้ยวน่าจะเป็นที่นิยม จึงวางแผนเปิดตลาดหมากฝรั่ง จนประสบความสำเร็จ โดยหมากฝรั่งยุคแรก ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็น รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา ขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี และดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ

ต่อ มาปี 2418 จอห์น คอลแกน เภสัชกร เติมรสชาติในหมากฝรั่งโดยใช้ตัวยาทางการแพทย์ คือขี้ผึ้งหอมทูโล ซึ่งทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ มีรสชาติหวานคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคร้อยกว่าปีก่อน พร้อมทั้งตั้งชื่อหมากฝรั่งชนิดนี้ว่า "แทฟฟี่-ทูโล" ทำให้หมากฝรั่งกลายเป็นที่นิยมขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้น นายโทมัส อดัมส์ เจ้าเก่าก็ผลิตหมากฝรั่งรสชะเอม หรือที่เรียกว่า "แบล็กแจ๊ก" เป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาดของอเมริกา

หลัง จากนั้นปี 2423 นายวิลเลียม เจ.ไวต์ ผสมน้ำเชื่อมข้าวโพด และเติมรสด้วยเปเปอร์มินต์ ทำให้หมากฝรั่งซึ่งถูกตั้งชื่อว่า "รสเปเปอร์มินต์" และเป็นที่นิยมอย่างมาก

สำหรับหมากฝรั่งที่เป่า เป็นลูกโป่ง สองพี่น้อง แฟรงก์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ เป็นผู้คิดค้นขึ้นแต่ในช่วงแรกยังมีคุณภาพไม่ดีนัก เป่าแล้วแตก ติดหน้าเหนอะหนะ จนในปี 2471 วอลเตอร์ เดมเมอร์ นำมาพัฒนาต่อและสามารถเป่าได้โตกว่าเดิม 2 เท่า และตั้งชื่อให้หมากฝรั่งแบบใหม่ว่า "ดับเบิ้ล บับเบิ้ล" ซึ่งไม่ได้ทำมาจากยางไม้อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่มซึ่งไม่มีรสและกลิ่น คนอเมริกันนิยมเคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้มาก

ปัจจุบัน หมากฝรั่งมีหลากหลายรสชาติ เช่น รสมินต์ ทำให้ลมหายใจสดชื่น รสเลมอน ทำให้รู้สึกตื่นตัว หรือรสเปเปอร์มินต์ ที่ให้ความรู้สึกเย็น และยังมี "ลูกเล่น" ที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่น บับเบิ้ลกัมพ์ (หมากฝรั่งที่ยืดหยุ่นได้ มีลักษณะเป่าแล้วเกิดฟอง) ลูกอมและหมากฝรั่งผสมที่มีลักษณะคล้ายอมยิ้ม

จากเดิมที่ใช้หมาก ฝรั่งช่วยระงับกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น ในปัจจุบัน มีพัฒนาให้สามารถปกป้องเหงือกและฟัน เช่น หมากฝรั่งแบบไม่มีน้ำตาลโดยมีสารให้ความหวานเทียมจาก
ไซลิทอลหรือน้ำตาล แอลกอฮอล์ธรรมชาติชนิดหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมี หมากฝรั่งสำหรับลดการติดบุหรี่ ซึ่งช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าความอร่อยอย่างเดียว

ปล.เมื่อเคี้ยวกันเสร็จแล้ว ควรที่จะทิ้งให้ถูกที่ถูกทางด้วยนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชื่อทั้ง 12 เดือนมาจากไหน





 หลายๆคนคงสงสัย?? ว่าเดือนแต่ละเดือนใครเป็นคนตั้งและที่มาของชื่อเดือนต่างๆ นั้นคืออะไร 
วันนี้ เกมส์ จะพาเพื่อนๆไปไขข้อข้องใจกันค่ะ ><"

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ

ทรงคิดตั้งชื่อเดือนมกราคม ถึง ธันวาคม ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยทรงใช้ตำราจักรราศี หรือการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี ประกอบด้วย 12 ราศี ตามวิชาโหราศาสตร์มาใช้กำหนดชื่อเดือนทั้ง 12 เดือน ทั้งนี้ แบ่งเดือนที่มี 30 วัน และเดือนที่มี 31 วัน ให้ชัดเจน ด้วยการลงท้ายเดือนต่างกัน คือ คำว่า "ยน" และ "คม"  ส่วนคำนำหน้านั้นมาจากชื่อราศีที่ปรากฏในช่วงเวลานั้นๆ เป็นวิธีนำคำ 2 คำมา "สมาส" กัน คำต้นเป็นชื่อราศี คำหลังคือคำว่า "อาคม" และ "อายน" แปลว่า "การมาถึง"

คำว่า "ปฏิทิน" ที่เราใช้ในปัจจุบัน สามารถเขียนได้เป็น "ประติทิน" ภาษาสันสกฤต หรือ "ประฏิทิน" บาลีแผลง "ประดิทิน" หรือ "ประนินทิน" ก็ได้ การพิมพ์ปฏิทินมีขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2385 ปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะนั้นปฏิทินยังคงใช้ตามแบบ "จันทรคติ" การนับ วัน เดือน ปี ถือการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลัก ต่อมาจึงมีวิธีนับวัน เดือน ปี ตามการหมุนเวียนของโลกรอบดวงอาทิตย์ เรียกว่า "สุริยคติ" เมืองไทยประกาศใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติอย่างเป็นทางราชการ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แม้เราจะใช้ปฏิทินตามสุริยคติ แต่ทางจันทรคติเราก็ยังใช้ควบไปด้วย

 ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากจันทรคติที่นับตั้งแต่เดือนอ้าย เดือนยี่...ถึง เดือนสิบสอง มาเป็นแบบสุริยคติ จึงได้มีการกำหนดชื่อเดือนขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ทรงเป็นผู้คิดปฏิทินไทยใช้ตามสุริยคติ ซึ่งนับวันและเดือนแบบสากล ขึ้นทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ 5 จากนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นประเพณีบ้านเมืองตั้งแต่ พ.ศ.2432 เรียกว่า "เทวะประติทิน" ที่เป็นต้นแบบปฏิทินไทยในวันนี้

มกราคม คือ มกร (มังกร) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมังกร

กุมภาพันธ์ คือ กุมภ์ (หม้อ) + อาพนธ แปลว่า การมาถึงของราศีกุมภ์

มีนาคม คือ มีน (ปลา) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีมีน

เมษายน คือ เมษ (แกะ) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีเมษ

พฤษภาคม คือ พฤษภ (วัว,โค) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีพฤษภ

มิถุนายน คือ มิถุน (ชายหญิงคู่) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีมิถุน

กรกฎาคม คือ กรกฎ (ปู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีกรกฎ

สิงหาคม คือ สิงห (สิงห์) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีสิงห์

กันยายน คือ กันย (สาวพรหมจารี) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีกันย์

ตุลาคม คือ ตุล (ตาชั่ง ตราชู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีตุล

พฤศจิกายน คือ พิจิก, พฤศจิก (แมงป่อง) + อายน แปลว่า การมาถึงของราศีพิจิก

ธันวาคม คือ ธนู (ธนู) + อาคม แปลว่า การมาถึงของราศีธนู



วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สีป้ายทะเบียนรถยนต์..มาจากไหน






รถยนต์ที่จดทะเบียนแล้วทุกคันนั้น จะต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนให้ครบถ้วน ถูกต้อง และในที่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน สีของแผ่นป้ายทะเบียนรถที่หลากหลายและแตกต่างกันนั้น มีดังนี้
  1. รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน รถยนต์รับจ้างสามล้อ รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ได้แก่ รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่ใช้รับจ้างระหว่างจังหวัด โดยรับส่งคนโดยสารได้เฉพาะที่นายทะเบียนกำหนดพื้นแผ่นป้ายเป็นสีเหลือง สะท้อนแสง ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น สีแดง สำหรับรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด สีดำ สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์ สีเขียว สำหรับรถยนต์รับจ้างสามล้อ สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง

  2. รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า รถยนต์บริการธุรกิจ เช่น รถที่ใช้ขนคนในสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ และรถโรงแรม รถยนต์บริการทัศนาจร เช่นรถนำเที่ยวของบริษัททัวร์ โดยรถพวกนี้พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็นสีขาว

  3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ พวกรถส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเก๋ง รถตู้ รถกระบะ มอไซค์ รถ MPV หรือรถ SUV โดย พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาวสะท้อนแสง ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น สีดำ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์ สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน สีเขียว สำหรับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล สีแดง สำหรับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล

    หมายเหตุ จะมีแผ่นป้ายทะเบียนชนิดพิเศษ พวกเลขสวย โดยจะเป็นป้ายที่ออกให้ประมูล ซึ่งจะมีสีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียน หมายเลขทะเบียน และตัวอักษรต่างไปจากแผ่นป้ายทะเบียนปกติ และแต่ละจังหวัด สีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียนก็จะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก (ยกเว้นรถสามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ ไม่มีป้ายพิเศษนี้)

  4. รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม พื้นแผ่นป้ายเป็นสีส้มสะท้อนแสง ตัวอักษร หมายเลข และขอบป้ายเป็นสีดำ

  5. รถยนต์ของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต และรถจักรยานยนต์ของคณะผู้แทนทางการทูต พวกรถทูต ลักษณะป้ายจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ท ตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วก็เลขทะเบียน ตัวอย่างเช่นรถทูตญี่ปุ่นก็จะเป็น ท44 - 9999 พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาว (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง) ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีดำ

  6. รถยนต์ของบุคคลในหน่วยงานพิเศษของสถานทูต ในคณะผู้แทนทางกงสุล ในองค์การระหว่างประเทศ หรือทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย และรถจักรยานยนต์ของบุคคลข้างต้น ลักษณะป้ายก็เหมือนรถทูต แต่ต่างกันตรงที่ รถในหน่วยงานพิเศษของสถานทูตจะใช้ตัวอักษร พ ส่วนรถกงสุลจะใช้ตัวอักษร ก ส่วนรถของสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ในไทย จะใช้ตัวอักษร อ และ พื้นแผ่นป้ายเป็นสีฟ้า (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง) ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีขาว ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ. ๒๕๔๗.

ป้ายทะเบียนรถยนต์ (License plate)

หมายถึง ป้ายแสดงรหัสประจำตัวรถยนต์ที่ติดอยู่บนรถยนต์ทุกคัน ป้ายทะเบียนรถยนต์มี 2 บรรทัด บรรทัดแรกประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัว และตัวเลขตั้งแต่ 1-4 หลัก ส่วนบรรทัดที่สองเป็นตัวอักษรบอกชื่อจังหวัด

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำตาลมาจากไหน

เคยสงสัยกันหรือเปล่าคะว่าเครื่องปรุงให้ความหวาน หรือน้ำตาลที่เรากินอยู่ทุกวันนี้นั้นได้มาจากไหน และทำไมถึงเรียกว่าน้ำตาล บางคนอาจร้องอ๋อเพราะรู้อยู่แล้ว แต่อาจไม่รู้ทุกรายละเอียด และความเป็นมา ส่วนคนที่ไม่รู้เลย เพราะอาจไม่ได้สงสัยอะไร แต่ยังไงซะ "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบบหาม" นะคะ ลองมาดูกันค่ะ


น้ำตาล คือ สารให้ความหวานตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง มีเรียกกันหลายแบบ ขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะของน้ำตาล เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลกรวด น้ำตาลก้อน น้ำตาลปีบ เป็นต้น แต่ในทางเคมี โดยทั่วไปหมายถึง ซูโครส หรือ แซคคาโรส ไดแซคคาไรด์ ที่มีลักษณะเป็นผลึกของแข็งสีขาว น้ำตาลเป็นสารเพิ่มความหวานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนมหวาน และเครื่องดื่ม ในทางการค้าน้ำตาลผลิตจาก อ้อย(sugar cane) , ต้นตาล(sugar palm),ต้นมะพร้าว(coconut palm),ต้นเมเปิ้ลน้ำตาล(sugar maple) และ หัวบีท (sugar beet) ฯลฯ น้ำตาลที่มีองค์ประกอบทางเคมีแบบง่ายที่สุด หรือ โมโนแซคคาไรด์ เช่น กลูโคส เป็นที่เก็บพลังงาน ที่จะต้องใช้ในกิจกรรม ทางชีววิทยา ของเซลล์ ศัพท์ทางเทคนิคที่ใช้เรียกน้ำตาลจะลงท้ายด้วยคำว่า "-โอส" (-ose) เช่น กลูโคส

น้ำตาล หมายถึง “สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์และไดแซ็กคาไรด์ ซึ่งมีรสหวาน โดยมากได้จากตาล มะพร้าว อ้อย ถ้าเป็นความหมายเฉพาะอย่างและทำด้วยอะไร ก็เติมคำนั้นๆลงไป เช่น ทำจากตาลเรียกน้ำตาลโตนด ทำจากมะพร้าวเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำเป็นงบเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำให้เป็นน้ำตาลทรายเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ทำเป็นเม็ดๆเหมือนทรายเรียกว่าน้ำตาลทราย ทำเป็นก้อนแข็งๆเหมือนกรวดเรียกว่าน้ำตาลกรวด เคี่ยวให้ข้นๆเรียกว่าน้ำตาลตงุ่น หยอดใส่ใบตาลทำเป็นรูปี่เรียกว่าน้ำตาลปี่ หลอมเป็นปึกเรียกว่าน้ำตาลปึก หยอดใส่หม้อเรียกว่าน้ำตาลหม้อ รองมาใหม่ๆยังไม่ได้เคี่ยวเรียกว่าน้ำตาลสด ถ้าต้มให้เดือดเรียกว่าน้ำตาลลวก ถ้าใส่เปลือกตะเคียนหมักเกลือหรือเคี่ยม เป็นต้น หมักไว้ระยะหนึ่งจนมีแอลกอฮอล์ กินแล้วเมา เรียกว่า ”น้ำตาลเมา”

น้ำตาลในประเทศไทยผลิตได้จากพืชหลายชนิด ตั้งแต่อ้อย ตาลโตนด มะพร้าว หญ้าคาและจาก จนถึงน้ำผึ้งจากรวงผึ้ง ปัจจุบันในอุตสาหกรรมทั่วโลกผลิตน้ำตาลจากอ้อยและหัวผักกาดหวานหรือหัวบีท (Beet roots) เป็นหลัก ประเทศไทยผลิตน้ำตาลได้เป็นอันดับสามของโลก รองจากอินเดียและบราซิล

ในสมัยโบราณกาลก่อน เราทำน้ำตาลจากน้ำหวานของต้นตาล จึงเรียกว่าสารให้ความหวานนั้นว่า "น้ำตาล" จนปัจจุบันถึงแม้ว่ารูปแบบของสารให้ความหวานจะเปลี่ยนไป ทั้งรูปลักษณ์ และวัตถุดิบ ซึ่งทำมาจากอ้อย แต่ชื่อน้ำตาลก็ยังคงถูกใช้อยู่ ส่วนชื่อน้ำตาลในความหมายเดิมเปลี่ยนชื่อเป็นน้ำตาลโตนดแทน

สำหรับ ภาษาอังกฤษ คำว่า "ซูการ์"(sugar) รับผ่านต่อมาจาก ภาษาฝรั่งเศส ว่า "Sucre" ซึ่งก็รับต่อกันมาเป็นทอดๆ ดังนี้ คือ จาก ภาษาอิตาลี zucchero > ภาษาอาหรับ sukkar > ภาษาเปอร์เซีย shakar > ภาษาสันสกฤต "ศรฺกรา" (शर्करा) ซึ่งมีความหมายว่าน้ำตาล หรือก้อนกรวด (pebble) ในภาษาบาลีเรียกว่า "สกฺขรา" (sakkharā) และตรงกับภาษาฮินดีว่า "สกฺกรฺ" (sakkar) > ภาษาไทย namtarnsine

น้ำตาลทราย หรือ ซูโครส สกัดได้จากพืชหลายชนิด ได้แก่
1. อ้อย (sugarcane-Saccharum spp.) มีน้ำตาลประมาณ 12%-20% โดยน้ำหนักของอ้อยแห้ง
2. ต้นบีท (sugar beet-Beta vulgaris)
3. อินทผลัม (date palm-Phoenix dactylifera)
4. ข้าวฟ่าง (sorghum-Sorghum vulgare)
5. ซูการ์เมเปิล (sugar maple-Acer saccharum)

ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2544-2545 มีการผลิตน้ำตาลจากทั่วโลกประมาณ 134.1 ล้านตัน ประเทศที่ผลิตน้ำตาลจากอ้อยส่วนใหญ่เป็นประเทศในเขตร้อน เช่น ออสเตรเลีย บราซิล และประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2544-2545 มีการผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นสองเท่าในประเทศกำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ปริมาณน้ำตาลที่ผลิตมากที่สุดอยู่ใน ละตินอเมริกา สหรัฐอเมริกา และชาติในกลุ่ม แคริบเบียน และ ตะวันออกไกล แหล่งน้ำตาลจากต้นบีทจะอยู่ในเขตอากาศเย็นเช่น: ตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันออกของยุโรป ญี่ปุ่นตอนเหนือ และบางพื้นที่ในสหรัฐอเมริการวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียด้วย ผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก คือสหภาพยุโรป ตลาดน้ำตาลยังถูกโจมตีโดยน้ำเชื่อมกลูโคส (glucose syrups) ที่ผลิตจากข้าวสาลีและข้าวโพดร่วมทั้งน้ำตาลสังเคราะห์ (artificial sweeteners) ด้วย ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตเครื่องดื่มที่มีต้นทุนถูกลง

เห็นไหมคะเพียงแค่น้ำตาลธรรมดาๆ ที่เราใช้ปรุงเพิ่มความหวานกันในชีวิตประจำวันที่หาได้ง่ายทั่วไป แต่พอมาดูประวัติความเป็นมา และที่มาของมันจริงๆ แล้ว มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่เราควรรู้ กว่าจะมาเป็นน้ำตาลให้เรากินนั้นได้ผ่านกระบวนการมากมาย และยังมีหลายประเภทยปลีกย่อย และประเภทที่เราไม่รู้จักอีกด้วย รวมถึงที่มาของคำว่า "น้ำตาล"



ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย และ thaigoodview.com