วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

เหงา....มาจากไหน

มีหลายคนบอกว่า โชคชะตาของคนเราได้ถูกกำหนดไว้แล้ว



นั้นก็คงจะหมายถึง ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมา ทั้งในสิ่งที่เราอยากให้เกิดแล้วมันไม่เกิด

สิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดแต่เกิด และสิ่งที่ไม่สามารถหยั่งรู้ว่าเราจะพบเจอกับอะไร

เข้าใจนะว่า ชีวิตคนเราเกิดมาก็แค่นี้ ผิดหวังเสียใจ สุขทุกข์สมหวัง มันก็แสนจะธรรมดา

อดีตที่ผ่านมา กาลเวลาสอนให้เราได้คิดเสมอว่า ไม่มีอะไรที่เราจะต้องเสียใจกับมันอีก

เสียใจไปก็เท่านั้น มันไม่ทำให้เราเรียกร้องสิทธิ์อันใดได้

หลายครั้งที่ฉันเคยพร่ำบอกความในใจให้ใครต่อใครรับรู้

หวนกลับมาสำนึกอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่า เราได้ทำพลาดไป

สิ่งดีๆหลายอย่าง มันคงจะมีความสุขกว่า ที่ไม่ได้พูดมันออกมา

บนโลกที่พบเจอแต่ความสับสน บนความหลากหลายนั้น

ฉันอยากพบเจอใครสักคนที่พร้อมจะเข้าใจฉัน โดยที่ฉันไม่เอ่ยคำใดออกมาได้ไหม

เข้าใจฉันในสิ่งที่เป็นฉัน ไม่ใช่คำที่ฉันเปล่งวาจาออกมา

แต่น่าเสียดายนะ ที่ฉันคงจะไม่เจอคนๆนั้นเป็นแน่แท้

เวลานับจากนี้ไป ฉันจะเก็บเกี่ยวความฝัน บนความเหน็บหนาวนี้

หยุดพักหัวใจ เพื่อนับเวลาที่โลกหมุน ให้ฉันได้เติบโตพอที่จะชินชากับความรู้สึกร้ายๆ

กระนั้น ฉันก็ยังไม่เคยมั่นใจว่าฉันจะทำได้ เพราะความรักเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของสมอง

ไม่ว่าฉันอยากจะให้มันเกิดหรืออยากจะให้มันจากฉันก็ไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์อะไรกะมันเลย

....วันนี้ที่ใจฉันอ่อนแอ ฉันอยากจะหลับไปให้นานแสนนาน หยุดคิดหยุดนึกเรื่องราวต่างๆ

หยุดรับรู้เรื่องราวมากมายที่จะเกิดขึ้นและผ่านเลยไป

แต่เมื่อหวนนึกย้อนกลับไป ทำไมเราต้องคิดที่จะเดินถอยหลังไปยังจุดที่เราไม่ควรจะถอยไป

เมื่อเราถูกสร้างให้มาพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น มันก็ไม่แตกต่างจะบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่นั้นหรอก

ส่วนบททดสอบนี้จะเป็นไปด้วยจุดประสงค์อันใดนั้น ใครเล่าจะรู้ได้

คุณเชื่อมั้ยว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดมามันมาพร้อมกับคำถามเสมอ มันเกิดมาเพื่อให้เราได้หาคำตอบ

และทางออกให้กะตัวเรา เหนื่อยนะกับสิ่งต่างๆเหล่านี้ มืดมนเหลือเกินเน้อ

ที่เขียนเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมา ใช่ว่าฉันจะน้อยใจโชคชะตาของตัวเอง

แต่อย่างที่กล่าว ทุกสิ่งเกิดมาพร้อมกับคำถามเสมอ ฉันอยากรู้ มันคือความจริง

คงไม่แปลก หรือน่าตลกหรอกนั้น ที่ฉันจะพูดมันออกมา

........................%%%%%%%%%..........................................................

หากตะวันดวงน้อยคล้อยลำแสง

สีส้มแดง อ่อนแรงแล้วสิ้นสาย

แสงนำทางความสุข ที่ย่างกลาย

มลายหาย ไปกับกาลเวลา

เพียงหวังพบหวังเจอ เจ้าความสุข

ได้เจอทุกความหวังที่ตามหา

เพียงหวังให้สิ้นสุดหยาดน้ำตา

ที่นองหน้า ท่วมใจที่ทุกข์ทน

อยู่บนโลกเห็นความหวัง ที่ทนเหงา

อยู่กับตัวของเงาที่สับสน

อยู่กับสิ่งที่ไม่มีซึ่งตัวตน

อยู่อย่างคนที่ไม่มีความอุ่นใจ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

น้ำเต้าหู้ มาจากไหน

น้ำเต้าหู้ หรือ นมถั่วเหลือง เป็นอาหารว่างของไทย ทำจากการบดถั่วเหลืองและนำไปต้มกรอง โดยจะได้น้ำเต้าหู้ ซึ่งก็คือนมถั่วเหลืองที่เจือจางลงนั่นเอง



ทานเป็นเครื่องดื่มได้ทันที นิยมรับประทานเป็นมื้อเช้า มักทานคู่กับ ปาท่องโก๋ หรือเป็นน้ำเต้าหู้ทรงเครื่อง โดยใส่ สาคู ลูกเดือย ข้าวบาร์เลย์ ถั่วแดง วุ้น หรือธัญพืชชนิดอื่นๆ ตามชอบ

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้

ถั่วเหลืองมีโปรตีนสูง ถั่วเหลืองจึงเป็นแหล่งโปรตีนสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพราะถั่วเหลืองมีคุณค่าทางโภชณาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากสัตว์ ถ้าเราบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงพอ ร่างกายจะได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการได้

นอกจากถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย คือ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12, ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E อีกด้วย ในเมล็ดถั่วเหลืองนั้นยังมี เลซิทิน ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มทักษะความจำ ลดไขมัน และลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

การดื่มนมถั่วเหลืองจะได้รับประโยชน์กว่าเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าเทียบกับนมแล้วนมถั่วเหลืองจะมีข้อดีกว่า แม้บางอย่างจะสู้นมไม่ได้ แต่นมถั่วเหลืองให้โปรตีนเกือบเท่านม มีไขมันที่ดีกว่าคือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่านม ช่วยลดโคเลสเตอรอล สำหรับข้อเสียคือ นมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมได้น้อยมาก

ดังนั้นการดื่มนมถั่วเหลืองในแต่ละวัน ถ้าเป็นนมถั่วเหลืองชนิดธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียมเข้าไปนั้น แนะนำให้ดื่มเป็นอาหารเสริมวันละ 1-2 แก้ว เพราะนมถั่วเหลืองชนิดธรรมดา มีแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงควรรับประทานอาหารอื่นที่มีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

เนย มาจากไหน

เนย (อังกฤษ: Butter) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม แบ่งเป็น เนยเหลว และ เนยแข็ง




* เนยเหลว (butter) ทำจากไขมันในนม ซึ่งเกิดจากการปั่นนม ไขมันจะรวมตัวกันเป็นเม็ด จากนั้นก็กรองน้ำออกไป นำไขมันมาเติมแบคทีเรีย Steptococcus Lactic กับ Leuconostoc citrovorum ซึ่งจะทำให้เนยมีกลิ่น และรสชาติเฉพาะตัว
* เนยแข็ง (cheese) จะเริ่มทำจากเนยเหลว แต่จะใช้ระยะเวลานานกว่า ต้องรอจนกรดที่แบคทีเรียสร้างขึ้นทำให้นมจับตัวกันเป็นก้อนเคิร์ด จากนั้นจะเติมเอนไซม์เรนนินลงไป เพื่อช่วยเร่งการแข็งตัวของนม ซึ่งจะทำให้มีการแยกส่วนที่เป็นน้ำ หรือหางนมออกมาจะทำให้เนยแข็งขึ้น มีการเติมเกลือลงไปเพื่อไล่ความชื้น หลังจากนี้จะนำไปบ่มด้วยแบคทีเรียหรือ รา อีกครั้ง
* นอกจากนี้ยังมีเนยเทียม ที่เรียกกันว่ามาการีนอีกด้วย

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ฟุตบอล มาจากไหน

ฟุตบอล หรือ ซอกเกอร์ เป็นกีฬาประเภททีมที่เล่นระหว่างสองทีมโดยแต่ละทีมมีผู้เล่น11คน โดยใช้ลูกฟุตบอล เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก




โดยจะเล่นในสนามหญ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ สนามหญ้าเทียม โดยมีประตูอยู่กึ่งกลางที่ปลายสนามทั้งสองฝั่ง เป้าหมายคือทำคะแนนโดยพาลูกฟุตบอลให้เข้าไปยังประตูของฝ่ายตรงข้าม ในการเล่นทั่วไปผู้รักษาประตูจะเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้มือหรือแขนกับลูกฟุตบอลได้ ส่วนผู้เล่นอื่นๆจะใช้เท้าในการเตะลูกฟุตบอลไปยังตำแหน่งที่ต้องการ บางครั้งอาจใช้ลำตัว หรือ ศีรษะ เพื่อสกัดลูกฟุตบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศ โดยทีมที่พาลูกฟุตบอลเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ถ้าคะแนนเท่ากันให้ถือว่าเสมอ แต่ในบางเกมที่เสมอกันในช่วงเวลาปกติแล้วต้องการหาผู้ชนะจึงต้องมีการต่อเวลาพิเศษ และ/หรือยิงลูกโทษขึ้นอยู่กับกฎระเบียบของรายการแข่งขันนั้นๆ

โดยกฎกติกาการเล่นสมัยใหม่จะถูกรวบรวมขึ้นในประเทศอังกฤษ โดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปีพ.ศ. 2406 ได้กำเนิดLaws of the Gameเพื่อเป็นแนวทางกติกาการเล่นในปัจจุบัน ฟุตบอลในระดับนานาชาติจะถูกวางระเบียบโดยฟีฟ่า ซึ่งรายการแข่งขันที่มีเกียรติสูงสุดในระดับนานาชาติคือการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี

กติกาการเล่นฟุตบอล

ในฟุตบอลมีกติกาสากลทั้งหมด 17 ข้อหลักที่มีการใช้ในฟุตบอลทั่วโลก โดยกติกาอาจมีการดัดแปลงบ้างสำหรับฟุตบอลเด็ก และฟุตบอลหญิง

ผู้เล่น อุปกรณ์ และกรรมการ

ในแต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่นสูงสุด 11 คนที่สามารถลงเล่นในสนาม โดยสามารถมีผู้เล่นสำรองสามารถนั่งเพื่อรอเปลี่ยนตัว โดยในสิบเอ็ดคนนั้นจะต้องมี ผู้รักษาประตูหนึ่ง คน ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการจะมีกติกาเพิ่มว่าจะต้องมีผู้เล่นอย่างน้อย 7 คน(ในกรณีที่ผู้เล่นโดนใบแดง) เพื่อทำการแข่งขันได้ โดยผู้เล่นทุกคนยกเว้นผู้รักษาประตู ไม่สามารถใช้มือหรือแขนสัมผัสลูกฟุตบอลได้(แต่จะสามารถใช้ส่วนอื่นยกเว้นมือแขนเพราะจะFouls ทันทีเมื่อกรรมการเห็น)

อุปกรณ์หลักในการเล่นฟุตบอล โดยลูกฟุตบอลจะต้องมีขนาดที่ได้มาตรฐานเป็นทรงกลม มีขนาดเส้นรอบวงไม่เกิน 27-28 นิ้ว และน้ำหนัก 396 – 453 กรัม ผู้เล่นต้องมีการใส่ชุดที่ประกอบไปด้วย เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า และสนับแข้ง โดยต้องไม่ใส่เครื่องประดับที่อาจเป็นอันตรายได้ไม่ว่า อัญมณีหรือนาฬิกา และผู้รักษาประตูต้องใส่ชุดที่แตกต่างจากผู้เล่นผู้อื่น และแตกต่างจากกรรมการเช่นกัน [5] จากฟีฟ่า

ระหว่างการเล่น ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนตัวกับตัวสำรองได้โดยในการแข่งขันทั่วไปสามารถเปลี่ยน ตัวในแต่ละนัดการแข่งขันได้ไม่เกิน 3 ครั้ง โดยสาเหตุในการเปลี่ยนตัวอาจเกิดจาก การบาดเจ็บ ความเหนื่อยล้า หรือเปลี่ยนแผนการเล่น โดยผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วไม่สามารถเปลี่ยนตัวเข้าไปเล่นได้อีกใน นัดนั้น

กรรมการจะเป็นบุคคลที่มีหน้าที่ตัดสินผลการแข่งขัน รวมถึงควบคุมและจับเวลาการแข่งขัน โดยในการแข่งขันจะมีผู้ช่วยกรรมการ 2 คน ซึ่งผู้เล่นจะไม่สามารถคัดค้านกรรมการได้ในเวลาเล่นเพราะตัดสินไปแล้วจะไม่ สามารถแก้ได้(ไม่จริง)

สนามฟุตบอล

สนามฟุตบอลมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามี ความยาวระหว่าง 100-110 เมตร และความกว้างระหว่าง 64-75 เมตร โดยเส้นขอบสนามของด้านยาวจะเรียกว่า "เส้นข้าง" ขณะที่ขอบสนามของด้านกว้างจะเรียกว่า "เส้นประตู" โดยคานประตูจะตั้งอยู่กึ่งกลางบนเส้นประตู โดยมีความสูง 2.44 เมตร (8 ฟุต) เหนือจากพื้นดิน และเสาประตูจะห่างกัน 7.3 เมตร (8 หลา) เสาและคานประตูจะต้องมีสีขาว ตาข่ายจะมีการขึงด้านหลังประตู แต่อย่างไรก็ตามตาข่ายประตูไม่ได้มีกำหนดไว้ในกติกาสากล

ด้านหน้าประตูจะเป็นบริเวณเขตโทษ ซึ่งแสดงถึงบริเวณที่ผู้รักษาประตูสามารถถือบอลได้ และยังคงใช้ในการเตะลูกโทษ

ระยะเวลาการแข่งขัน

การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองครึ่ง โดยครึ่งละ 45 นาที โดยเวลาการแข่งขันจะมีการนับตลอดเวลา แม้ว่าฟุตบอลจะถูกเตะออกนอกสนามและกรรมการสั่งให้หยุดเล่นก็ตาม ระหว่างครึ่งจะมีเวลาพักให้ 15 นาที กรรมการจะเป็นคนควบคุมเวลา และจะทำการทดเวลาบาดเจ็บในช่วงท้ายของแต่ละครึ่งเพื่อทดแทนเวลาที่เสียไป ระหว่างการเล่น โดยเมื่อจบการแข่งขันกรรมการจะทำการเป่านกหวีดเพื่อหยุดการแข่งขัน

ในการแข่งขันแบบลีก จะมีการจบการแข่งขันสำหรับผลเสมอ แต่สำหรับการแข่งขันที่ต้องรู้ผลแพ้ชนะจะมีการต่อเวลาพิเศษ(ง่ายๆคือการแข่ง ชิงถ้วย) ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที โดยถ้าคะแนนยังคงเสมอกันจะมีการให้เตะลูกโทษ (ด้านการเตะลูกโทษมีคนวิจัยมาว่าทีมไหนเตะก่อนจะมีเปอร์เซนต์การชนะมากกว่า ทีมที่เตะทีหลัง)

ไอเอฟเอบีได้ทดลองการกำหนดรูปแบบการทำคะแนนในช่วงต่อเวลาที่เรียกว่า โกลเดนโกล โดยทีมที่ทำประตูได้ก่อนในช่วงต่อเวลาจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน และ ซิลเวอร์โกล โดยทีมที่ทำประตูนำเมื่อจบครึ่งเวลาแรกจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน โดยโกลเดนโกลได้ถูกนำมาใช้ใน ฟุตบอลโลก 1998 และ ฟุตบอลโลก 2002 โดยมีการใช้ครั้งแรกในการแข่งขันทีมชาติฝรั่งเศส ชนะ ปารากวัย ในปี 1998 ขณะที่ซิลเวอร์โกลได้มีการใช้ครั้งแรกในฟุตบอลยูโร 2004 ซึ่งปัจจุบันโกลเดนโกล และซิลเวอร์โกลไม่มีการใช้แล้ว

การแข่งขันระหว่างประเทศ
ทีมชาติ

การแข่งขันฟุตบอลในระดับโลกนั้น มีการแข่งขันสูงสุดคือ ฟุตบอลโลก ที่จัดขึ้นทุก 4 ปี ซึ่งทีมที่ร่วมเล่นจะเป็นทีมชาติจากแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่า โดยแต่ละทีมจำเป็นต้องผ่านรอบคัดเลือก ของทางสมาพันธ์ เพื่อมีสิทธิเข้าร่วมเล่น โดยในแต่ละสมาพันธ์จะมีจำกัดจำนวนทีมที่ร่วมเล่นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผลงานของแต่ละทีมในอดีต โดยทางฟีฟ่าจะเป็นทางกำหนด และนอกจากฟุตบอลโลกแล้ว ในแต่ละสมาพันธ์จะมีการแข่งขันสูงสุดของแต่ละสมาพันธ์เอง ซึ่งจัดขึ้นทุก 4 ปี โดยผู้ชนะจากแต่ละสมาพันธ์จะทำการแข่งขันกันในคอนเฟเดอเรชันส์คัพพร้อมกับทีมที่ชนะเลิศในฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด

นอกเหนือจากการแข่งขันที่จัดโดยฟีฟ่า การแข่งขันฟุตบอลทีมชาติที่เป็นที่จับตามองได้แก่การแข่งขันฟุตบอลในกีฬาระหว่างประเทศ เช่น โอลิมปิก (ทั่วโลก) เอเชียนเกมส์ (ทวีปเอเชีย) หรือ ซีเกมส์ (เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ภูมิภาค เอเชีย แอฟริกา อเมริกาเหนือและกลาง อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป
สมาพันธ์ เอเอฟซี ซีเอเอฟ คอนแคแคฟ คอนเมบอล โอเอฟซี ยูฟ่า
AFC CAF CONCACAF CONMEBOL OFC UEFA
การแข่งขันสูงสุด เอเชียนคัพ แอฟริกันคัพ โกลด์คัพ โคปาอเมริกา เนชันส์คัพ ฟุตบอลยูฟ่ายูโร
ระดับโลก คอนเฟเดอเรชันส์คัพ

ทีมสโมสร
สำหรับทีมสโมสรนั้น ทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันในประเทศ มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสมาพันธ์ที่มีการจัดขึ้นทุกปี (บางสมาพันธ์จะให้ทีมรองชนะเลิศร่วมด้วย) โดยทีมที่ชนะเลิศในแต่ละสมาพันธ์ จะมาแข่งขันกันในระดับโลก ในการแข่งขัน ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ ซึ่งจัดขึ้นทุกปี

มิภาค เอเชีย แอฟริกา อเมริกาเหนือและกลาง อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป
สมาพันธ์ เอเอฟซี ซีเอเอฟ คอนแคแคฟ คอนเมบอล โอเอฟซี ยูฟ่า
AFC CAF CONCACAF CONMEBOL OFC UEFA
การแข่งขัน
ระดับสมาพันธ์ เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ซีเอเอฟแชมเปียนส์ลีก คอนแคแคฟแชมเปียนส์คัพ โคปาลิเบอร์ตาโดเรส โอเชียเนียคลับแชมเปียนชิพ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ระดับโลก ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ

ฟุตบอลในประเทศไทย

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมเล่นมากที่สุดในประเทศไทย แต่ฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จได้แค่ในระดับอาเชียน และได้เข้าร่วมเป็นเจ้าภาพเอเชียนคัพ 2007 ในขณะเดียวกันในปัจจุบันมีการจัดลีกฟุตบอลอยู่สองลีกคือ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกบริหารงานโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และโปรลีกบริหารโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย และลีกรองดิวิชัน 1 ของแต่ละส่วน ประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนนักฟุตบอลอาชีพนัก นักเตะจึงนิยมไปค้าแข้งกับประเทศอื่นที่มีการสนับสนุนดีกว่า แต่หลังจากปี พ.ศ.2552 ฟุตบอลอาชีพไทยเริ่มตื่นตัว เนื่องจากAFC ตั้งกฏข้อบังคับให้แต่ละสโมสรจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล แต่มีสโมสรองกรณ์ รัฐวิสาหกิจ ปรับจัวไม่ได้ จึงต้องมีการยิบทีมทิ้ง หรือขายทีมไป หลังจากไทยพรีเมียร์ลีกฤดู กาล 2009 เริ่มขึ้น แฟนบอลเริ่มเข้ามาชมเกมส์ในสนามมากขึ้น เงินเดือนนักเตะสูงขึ้น การจัดการของแต่ละสโมสรดีขึ้น ลีกไทยค่อยๆพัฒนาเป็นระดับ ส่งผลทำให้นักฟุตบอลที่เคยไปค้าแข้งต่างแดนกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากค่าตอบแทนไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ผลงานทีมชาติกลับสวนทางเพราะว่าต้องใช้เวลาปรับตัว เนื่องจากยุคที่ลีกบ้านเรายังไม่เจริญนักฟุตบอลมีเวลาเตรียมทีมเยอะ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่ค่อยมีเวลาเพราะสโมสรเรียกเก็บตัวซ้อมเพื่อการแข่งขัน นักเตะจึงต้องใช้เวลาปรับตัว แต่ถือว่าฟุตบอลของประเทศไทยพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพราะเพียง2ปีเท่านั้นแฟนบอลหันมาเชียร์ทีมในจังหวัดตัวเองมากขึ้น ทีมกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดท้องถิ่นนิยม จึงเป็นที่มาที่แฟนบอลไทยเข้าไปชมเกมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ดิวิชั่น1 และดิวิชั่น2 มากขึ้นนั่นเอง

ฟุตบอลเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2440 และไทยร่วมเป็นสมาชิกฟีฟ่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นับว่าเป็นประเทศแรกของโซนเอเชียที่เป็นสมาชิกฟีฟ่า

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ขิง มาจากไหน

ขิง (อังกฤษ: Ginger) เป็นพืชล้ม ลุก มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวลมีกลิ่นหอมเฉพาะ แทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นสองแถว ใบรูปหอกเกลี้ยงๆ กว้าง 1.5 - 2 ซม. ยาว 12 - 20 ซม. หลังใบห่อจีบเป็นรูปรางนำปลายใบสอบเรียวแหลม โคนใบสองแคบและจะเป็นกาบหุ้มลำต้นเทียม ตรงช่วงระหว่างกาบกับตัวใบจะหักโค้งเป็นข้อศอก ดอก สีขาว ออกรวมกันเป็นช่อรูปเห็ดหรือกระบองโบราณ แทงขึ้นมาจากเหง้า ชูก้านสูงขึ้นมา 15 - 25 ซม. ทุกๆ ดอกที่กาบสีเขียวปนแดงรูปโค้งๆ ห่อรองรับ กาบจะปิดแน่นเมื่อดอกยังอ่อน และจะขยายอ้าให้ เห็นดอกในภายหลัง กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอก มีอย่างละ 3 กลีบ อุ้มน้ำ และหลุดร่วงไว โคนกลีบดอกม้วนห่อ ส่วนปลายกลีบผายกว้างออกเกสรผู้มี 6 อัน ผล กลม แข็ง โต วัดผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม.




ขิงขยายพันธุ์โดยใช้เหง้า ปลูกในดินร่วนซุยผสมปุ๋ยหมัก หรือดินเหนียวปนทราย โดยยกดินเป็นร่องห่างกัน 30 ซม. ปลูกห่างกัน 20 ซม. ลึก 5 - 10 ซม. ขิงชอบขึ้นในที่ชื้นมีการระบายน้ำดี ถ้าน้ำขังอาจโดนโรคเชื้อรา และการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจเป็นการลงทุนสูงแต่คุ้มค่าและจะได้พันธุ์ที่ปลอดเชื้อ เพราะส่วนใหญ่โรคที่พบมักติดมากับท่อนพันธุ์ขิง

ขิงมีอยู่หลายชื่อ ตามแต่ละถิ่น ได้แก่ ขิงแกลง, ขิงแดง (จันทบุรี), ขิงเผือก (เชียงใหม่), สะเอ (แม่ฮ่องสอน)[1]), ขิงบ้าน, ขิงแครง, ขิงป่า, ขิงเขา, ขิงดอกเดียว (ภาคกลาง), เกีย (จีนแต้จิ๋ว)

สรรพคุณ

* เหง้า : รสหวานเผ็ดร้อน ขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ ขับเสมหะ แก้บิด เจริญอากาศธาตุ สารสำคัญในน้ำมันหอมระเหย จะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ใช้เหง้าแก่ทุบหรือบดเป็นผง ชงน้ำดื่ม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ เหง้าสด ตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว เติมเกลือเล็กน้อย จิบแก้ไอ ขับเสมหะ [2]
* ต้น : รสเผ็ดร้อน ขับลมให้ผายเรอ แก้จุกเสียด แก้ท้องร่วง
* ใบ : รสเผ็ดร้อน บำรุงกำเดา แก้ฟกช้ำ แก้นิ่ว แก้ขัดปัสสาวะ แก้โรคตา ฆ่าพยาธิ
* ดอก : รสเผ็ดร้อน แก้โรคประสาทซึ่งทำให้ใจขุ่นมัว ช่วยย่อยอาหาร แก้ขัดปัสสาวะ
* ราก : รสหวานเผ็ดร้อนขม แก้แน่น เจริญอาหาร แก้ลม แก้เสมหะ แก้บิด
* ผล : รสหวานเผ็ด บำรุงน้ำนม แก้ไข้ แก้คอแห้ง เจ็บคอ แก้ตาฟาง เป็นยาอายุวัฒนะ
* แก่น : ฝนทำยาแก้คัน
สารเคมีและสารอาหารที่สำคัญ

ในเหง้าขิงมี น้ำมันหอมระเหยอยู่ประมาณ 1 - 3 % ขึ้นอยู่กับวิธีปลูกและช่วงการเก็บรักษา ในน้ำมันประกอบด้วยสารเคมี ที่สำคัญคือ ซิงจิเบอรีน (Zingiberene) , ซิงจิเบอรอล (Zingiberol) , ไบซาโบลี (bisabolene) และแคมฟีน (camphene) มีน้ำมัน (oleo - resin) ในปริมาณสูง เป็นส่วนที่ทำให้ขิงมีกลิ่นฉุน และมีรสเผ็ด ส่วนประกอบสำคัญ ในน้ำมันซัน ได้แก่ จินเจอรอล (gingerol) , โวกาออล (shogaol) , ซิงเจอโรน (zingerine) มีคุณสมบัติเป็นยากัดบูด กันหืน ใช้ใส่ในน้ำมันหรือไขมัน เพื่อป้องกันการบูดหืน สารที่ทำให้ขิงมีคุณสมบัติเป็นยากันบูด กันหืนได้คือ สารจำพวกฟีนนอลิค

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ความรัก มาจากไหน

มีคำกล่าวไว้ว่า “ความรู้สึกพอ ไม่ใช่ มาจากการเติมเต็มสิ่งที่คุณต้องการ...แต่มาจากการตระหนักว่าคุณมีมากมายและเพียงพอ...



“การมอบ ความรักทั้งหมดให้กับผู้อื่นมิได้หมายความว่าเราจะได้รับความรักตอบกลับมา อย่างเท่าเทียมกัน...อย่าหวังว่ารักผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะรักตอบ...จงสนใจแค่ ให้ความรักนั้นเติบโตขึ้นในใจพวกเขา...แต่ถ้าไม่เติบโตขึ้นเลย...ก็จงพอใจ กับความรักที่เติบโตขึ้นในใจของคุณเอง”

พระ เจ้าเป็นผู้เดียว และเป็นผู้เริ่มต้นการหว่านเม็ดพันธุ์ความรักออกไป พระเจ้าหว่านออกไป พระองค์ไม่ได้สนใจว่าต้นความรักบางเมล็ดจะงอกขึ้นหรือไม่ แต่พระองค์ก็รักเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดที่พระองค์ทรงหว่านออกไป พระองค์ยังคงไม่หยุดที่จะใส่ปุ๋ย พรวนดิน และเฝ้ารอคอยดูการเติบโตของต้นความรักที่พระองค์ทรงหว่านภายในเราอย่างไม่ละ สายตา อย่างเอ็นดู อย่างระมัดระวัง และ ทะนุถนอม อาจจะมีบางต้นที่เติบโตเป็นต้นรักที่สวยงาม มีดอก มีผล และมีเมล็ดพันธุ์แห่งความรักหว่านออกไปอย่างมากมาย แต่ก็มีบางต้นที่ไม่ได้เติบโต แต่พระเจ้าก็ยังรักและใส่ปุ๋ยต่อไป อย่างไม่ลดละ จนกระทั้ง วันหนึ่ง ต้นรักต้นนั้นงอกขึ้นมาเป็นแค่ เมล็ดถั่วงอก และหยุดการเจริญเติบโต ..... แต่พระเจ้าผู้ที่เป็นเจ้าของสวน พระองค์ก็รักและชมความงามของเจ้าต้นถัวงอกน้อยๆ อยู่ดี

เหมือน เช่นกัน พระเจ้าได้ทรงเรียกร้องให้เรามีลักษณะเหมือนพระองค์ คือพระองค์ได้ทรงรักเราก่อน เมื่อเวลาที่เราให้ความรักกับใครไปก่อน และไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั้นเป็นเพราะว่าความรักที่พระเจ้ามีให้เรา และพระเจ้าต้องการให้เราเป็นนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักที่ปราศจากเงื่อนไข 1 คร : 13 ชัดเจนที่สุด

เช่นกัน พระเจ้ารักเราเต็ม 100% แต่ในขณะที่เรารักพระเจ้าเริ่มจาก 0 และอาจจะไม่ถึงครึ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเรา และเมื่อเราได้ให้ความรักไปกับบุคคลอื่นๆ คน อื่นก็ทำกับเราก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เราสะท้อนพระฉายของพระองค์ออกไป และในความรักที่พระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราให้กับผู้อื่นนั้น ไม่ใช่ความรักที่มีอย่างจำกัดของเรา แต่ เป็นเพราะความรักที่มีในพระเจ้า เพราะถ้าเราใช้ความรักของเรามันก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด แต่ถ้ามาจากพระเจ้าเราก็จะเห็นความรักนั้นเติบโตขึ้นอย่างงดงามที่สุด กท. 6: 8 “ผู้ ที่หว่านในเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น”

2. คนพิเศษที่สุด

ไม่มีใครสักคนเดียวที่อยู่ได้โดยปราศจากความรัก มนุษย์ ทุกคนต้องความรัก พระเจ้าทราบถึงความต้องการภายในจิตใจของเราทุกคน พระองค์มองเราลงมาด้วยสายตาแห่งความรัก และความเข้าใจอย่างยิ่งภายในเรา

มีหลายๆ ครั้งที่เรารู้สึกเหี่ยวแห้งเหลือเกิน อย่างอยู่คนเดียว และรู้สึกว่า “ไม่เป็นไร เราอยู่ได้ อยู่ได้คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครรัก หรือรักเราก็ได้”

แต่ ลองถามเข้าไปในใจลึกๆ ข้างในของเราดู เรากำลังนอนคตคู้อยู่หรือเปล่า เรากำลังรอคอยอ้อมแขนของใครบางคนอยู่หรือเปล่า เราอยากที่จะเป็นที่รักของใครบางคนที่เรารัก หรือต่อคนที่เรารักเขาบ้าง เราต้องการเป็นคนพิเศษจริงๆ ของใครบางคน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือแม้แต่คนรัก แม้แต่เพียงความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาคนนั้นมีให้เราก็พอใจ ขอเพียงแค่ให้เราเป็นที่รัก หรือเป็นคนที่ถูกรัก

พระ เยซูพระองค์ทรงเป็นความรักที่พร้อมอยู่เสมอ เมื่อเราต้องการพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่พร้อมจะมอบให้ พระองค์ทรงนำความรักของพระองค์มาให้เราทุกๆ วัน พระองค์ยืนเคาะอยู่หน้าประตูหัวใจของเราทุกๆ วัน เพียงแค่เราเปิดประตูออก พระองค์ก็จะนำความรักที่สมบูรณ์ไปให้คนๆ นั้น อย่างมากมายเกินความเข้าใจของเรา และเราก็เป็นคนพิเศษจริงๆ สำหรับพระองค์ วว. 3: 20 “นี่ แนะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

พระเยซู มองเราอย่างคนพิเศษจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยอมลงมาเคาะอยู่ที่หน้าประตูใจ และเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับคนอย่างเรา เรา ไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมายที่จะทำการ์ดเชิญสวยๆ ให้พระองค์มาร่วมรับประทานอาหารในบ้านของเรา แต่พระเยซูรักเราที่ความเป็นเรา อย่างคนที่ไม่มีอะไรมากมายเหมือนเช่นเรา พระองค์เป็นพระเจ้าที่พอใจในเราทุกอย่าง เราไม่จำเป็นต้องมีพร้อมทุกอย่าง เราไม่จำเป็นต้องมีอะไร มีแค่หัวใจที่ยอมรับ และยอมให้พระองค์เข้ามาในจิตใจเราก็เพียงพอแล้ว เพราะเราเป็นคนพิเศษสำหรับพระองค์

ขอให้มีความสุขกับความรักของพระองค์อย่างเต็มล้นอยู่ ขออย่าให้ใครขาดไปจากความรักของพระเยซู พระเจ้าของเรานะคะ

1 ยน. 4 : โดย ข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก (เข้ามาในเรา) เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

หัวใจ มาจากไหน

หัวใจ (อังกฤษ: Heart) ในกายวิภาคศาสตร์ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นอวัยวะสำหรับการสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายโดยอาศัยโครงสร้างของกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) และระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในหัวใจซึ่งสร้างและควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ



หัวใจวางตัวอยู่ในบรินกลางของช่องอก ในบริเวณที่เรียกว่า เมดิแอสไตนัมส่วนกลาง (middle mediastinum) ซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกขนาบข้างด้วยปอด และมีหลอดเลือดแดงใหญ่และหลอดอาหารวางอยู่ใต้หัวใจ นอกจากนี้หัวใจยังถูกห่อหุ้มโดยเยื่อบางๆ เรียกว่า เยื่อหุ้มหัวใจ (pericardium) ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้หัวใจยังมีระบบหลอดเลือดเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า ระบบหลอดเลือดหัวใจ (coronary system) ซึ่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง

ในศัพท์ทางการแพทย์ หัวใจและโครงสร้างที่เกี่ยวกับหัวใจจะใช้คำ Cardio- มาจาก kardia ซึ่งหมายถึงหัวใจในภาษากรีก

โครงสร้างและพื้นผิวของหัวใจ

สำหรับในร่างกายมนุษย์ หัวใจจะวางตัวอยู่ในช่องอกและ เยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ หัวใจจะมีน้ำหนักประมาณ 250-350 กรัม และมีขนาดประมาณสามในสี่ของกำปั้น แต่ในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจโต (cardiac hypertrophy) น้ำหนักของหัวใจอาจมากถึง 1000 กรัม หัวใจคนเรานั้นมี4ห้องคือ2ห้องบนและ2ห้องล่าง

บนพื้นผิวของหัวใจจะมีร่องหัวใจ (cardiac grooves) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการวางตัวของหลอดเลือดหัวใจ ร่องหัวใจที่สำคัญได้แก่

* ร่องโคโรนารี (Coronary grooves) หรือร่องเอตริโอเวนตริคิวลาร์ (atrioventricular groove) เป็นร่องที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องบน (atria) และหัวใจห้องล่าง (ventricle) ร่องนี้จะเป็นที่วางตัวของแอ่งเลือดโคโรนารี (coronary sinus) ทางพื้นผิวด้านหลังของหัวใจ
* ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหน้า (Anterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งระหว่างหัวใจห้องซ้ายและหัวใจห้องขวาทางด้านหน้า และจะมีแขนงใหญ่ของหลอดเลือดแดงโคโรนารีด้านซ้าย (left coronary artery) วางอยู่
* ร่องอินเตอร์เวนตริคิวลาร์ด้านหลัง (Posterior interventricular groove) เป็นร่องที่แบ่งหัวใจระหว่างห้องซ้ายและห้องขวาทางด้านหลัง ส่วนใหญ่จะพบว่ามีแขนงของหลอดเลือดแดงโคโรนารี

ผนังหัวใจ

ผนังของหัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามชั้น ได้แก่

* เยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน (Epicardium) เป็นชั้นที่ติดต่อกับเยื่อหุ้มหัวใจด้านที่ติดกับหัวใจ (Visceral layer of pericardium) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เหนียวและแข็งแรง
* กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) เป็นชั้นที่มีความหนามากที่สุด และประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจเกือบทั้งหมด
* เยื่อบุหัวใจ (Endocardium) เป็นชั้นบางๆที่เจริญมาจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด
ห้องหัวใจ

หัวใจจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้อง (heart chambers) และทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องจะถูกควบคุมโดยลิ้นหัวใจ (cardiac valves) ทำให้เลือดไม่ไหลย้อนเมื่อมีการบีบตัวและคลายตัว ในที่นี้จะกล่าวถึงห้องของหัวใจตามลำดับของการไหลของเลือดภายในหัวใจ

หัวใจห้องบนขวา

หัวใจห้องบนขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากหลอดเลือดดำใหญ่ซุพีเรียเวนาคาวา (superior vena cava) ซึ่งรับเลือดมาจากร่างกายส่วนบน และหลอดเลือดดำใหญ่อินฟีเรียร์เวนาคาวา (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง ผนังของหัวใจห้องนี้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะทางด้านที่ติดกับหัวใจห้องบนซ้าย จะมีรอยบุ๋มที่เรียกว่า ฟอซซา โอวาเล (Fossa ovale) ซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนทั้งสองห้องระหว่างที่อยู่ในครรภ์ โดยปกติจะไม่มีช่องเปิดใดๆ แต่ในกรณีที่รอยบุ๋มดังกล่าวนี้ยังคงเหลือช่องเปิดอยู่ อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจผิดปกติได้ เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)

หัวใจห้องล่างขวา

หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ และพื้นผิวทางด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะติดกับกะบังลม หัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี (pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary arteries) ที่ผนังของหัวใจห้องที่จะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อกัน และมีเอ็นเล็กๆที่ควบคุมลิ้นหัวใจไทรคัสปิด ซึ่งเรียกว่า คอร์ดี เท็นดินี (chordae tendinae) ซึ่งทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบนขวา ระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ

หัวใจห้องบนซ้าย

หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัวอยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary veins) และจึงส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทางลิ้นไมทรัล (Mitral valve)

หัวใจห้องล่างซ้าย

หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)

ลิ้นหัวใจ

ลิ้นหัวใจเป็นแผ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรงที่ยื่นออกมาจากผนังของหัวใจ เพื่อควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจ ให้เป็นไปในทิศทางเดียว โดยอาศัยความแตกต่างของความดันโลหิตในแต่ละห้อง ลิ้นหัวใจที่สำคัญได้แก่

* ลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve) มีสามกลีบ (cusps) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนขวาและล่างขวา
* ลิ้นไมทรัล (Mitral valve) มีสองกลีบ บางครั้งจึงเรียกว่า ลิ้นหัวใจไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้าย
* ลิ้นหัวใจพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างขวาและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี
* ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดแดงใหญ่ ใกล้ๆกับโคนของลิ้นหัวใจนี้จะมีรูเปิดเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้าของเลือดที่จะเข้าสู่ระบบหลอดเลือดหัวใจ


ระบบนำไฟฟ้าของหัวใจ

คุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถ กระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่

* ไซโนเอเตรียลโนด (Sinaoatrial node) หรือเอสเอโนด (SA node) เป็นกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่มีการเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์ของระบบนำ ไฟฟ้า โดยอยู่ในผนังของหัวใจห้องบนขวา เอสเอโนดทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นในการส่งกระแสไฟฟ้าไปตามกล้ามเนื้อหัวใจ ห้องบน ด้วยความถี่ประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที
* เอตริโอเวนตริคิวลาร์โนด (Atrioventricular node) หรือเอวีโนด (AV node) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง โดยจะรับกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามหัวใจห้องบน แล้วจึงนำกระแสไฟฟ้าส่งลงไปยังหัวใจห้องล่างผ่านทางเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ใน ผนังกั้นหัวใจห้องล่างขวาและล่างซ้าย ซึ่งเรียกว่า บันเดิล ออฟ ฮิส (Bundle of His) และนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างทางเส้นใยปัวคินเจ (Purkinje fiber) นอกจากนี้ในกรณีที่เอสเอโนดไม่สามารถกระตุ้นหัวใจได้ เอวีโนดจะทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นแทน

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ความเศร้า มาจากไหน

กำลังใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเรา ถ้าขาดกำลังใจเสียแล้ว คงไม่มีแรงอะไรมาผลักดัน ให้เราฟันฝ่าอุปสรรคได้ ต่อไปดีไม่ดีอาจถึงขนาดคิดฆ่าตัวตาย เพราะหมดกำลังใจที่จะสู้ชีวิตก็ได้ วิธีแรก ให้จดบันทึกและสะสมภาพเหตุการณ์ดีๆ ในชีวิตเอาไว้ จะเป็นเหตุการณ์อะไรก็ได้ที่เคยทำให้เรามีความ สุข สดชื่น และสมหวังในชีวิตมาแล้ว เช่น วันรับปริญญา วันที่พบคนรักครั้งแรก วันแต่งงาน วันที่ได้เลื่อนตำแหน่ง วันที่ได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ วันที่ได้ไปท่องเที่ยวสนุกสนาน เป็นต้น แล้วว่างๆ ก็เอาบันทึกหรือภาพถ่าย มาดูจะช่วยให้ย้อนระลึกถึงความสุขในอดีต ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ปัญหาในปัจจุบันต่อไป




วิธีต่อมา ให้สะสมคติพจน์ คำคม สุขภาพจิต หรือคำปลุกใจต่างๆ เอาไว้ เช่น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน “ลำบากก่อนแล้วจะสบายเมื่อปลายมือ” “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรู คือ ยาชูกำลัง” “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรติดสุภาษิตเหล่านี้ไว้ ตามฝาผนัง หน้ากระจก หน้าประตู เพื่อให้ตัวเองเห็นบ่อยๆ จะได้มีกำลังใจอยู่เสมอ ท้ายสุด คือ ให้นึกถึงคนที่เรา ชื่นชมยกย่องในความมานะ อุตสาหะของเขา เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยความบากบั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น เก็บเขาคนนี้ไว้ในใจของเรา เมื่อใดที่เรารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ก็ให้นึกถึงเขา คนนั้น คิดว่าเราต้องอดทน มีมานะ เหมือนเขาคนนั้น เพื่อที่เราจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนเขาเช่นกัน เราก็จะเกิด กำลังใจ ที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคให้ได้ ขอย้ำว่ากำลังใจนั้นไม่ต้องไปหาที่ไหน อยู่ที่ใจของเรานั้นเอง

วิธีปลอบใจที่ได้ผล

คงมีบางครั้งเหมือนกัน ที่เราเห็นคนใกล้ชิดมีความทุกข์แล้ว เราเองก็อยากจะปลอบใจเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น อย่างไร และก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้น มันเหมาะสมหรือไม่ ดีไม่ดีแทนที่เขาจะรู้สึกดีขึ้น อาจจะรู้สึก แย่ลงกว่าเดิม ทำให้เราต้องรู้สึกผิดหนักขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่า ตัวคุณจะปลอบใจใครได้ เรามีวิธีที่จะ แนะนำคุณดังนี้

ประการแรก ให้คุณไปอยู่ใกล้ๆ เขา ไปนั่งข้างๆ ไปให้เขาเห็นหน้าคุณ เพื่อแสดงให้เขารู้ว่า คุณห่วงใยเขาจริงๆ ในกรณีที่คุณไม่สามารถจะไปอยู่ใกล้ชิดเขาได้ ก็อาจจะใช้วิธีโทรศัพท์ไปหา เขียนจดหมาย ส่งการ์ดหรือส่งโทรเลขไปก็ได้ เพื่อแสดงว่าคุณยังนึกถึงเขาอยู่

ประการที่สอง ให้รีบฟังสิ่งที่เขาพูดระบายออกมา คุณต้องเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด ถ้าเขายังไม่มีอารมณ์จะพูด หรือกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น คุณก็ควรรอคอยอย่าง อดทน เมื่อเขาพร้อมที่จะพูด คุณก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ ควรพูดเข้าข้างเขา แสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับเขา และ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเขาเสมอ ที่สำคัญคุณต้องเก็บเรื่องของเขาไว้เป็นความลับ ไม่เอาไปพูดต่อและเมื่อ บอกกว่าจะช่วยก็ต้องช่วยจริงๆ อย่าไปพูดสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่คุณทำจริงไม่ได้ เขาจะหมดความเชื่อถือในตัวคุณ

ประการที่สาม คุณต้องให้กำลังใจเขา ช่วยให้เขามองเห็นทางออก ในเรื่องที่เขากำลังกลุ้มใจอยู่คุณต้อง ช่วยให้เขามีความหวังในชีวิต อย่าเพิ่งคิดสั้น เพราะตัวเขานั้นยังมีคุณค่าต่อคุณ ต่อครอบครัวของเขาและต่อสังคมด้วย

ประการสุดท้าย ช่วยให้เขาตัดสินใจเลือกทางแก้ไขปัญหา ด้วยตัวของเขาเอง คุณอย่าไปตัดสินใจแทนเขา ต้องให้เกียรติในการติดสินใจของเขา และคุณต้องแสดงความจริงใจ ที่จะช่วยเหลือเขาต่อไปด้วย เพียงเท่านี้ เขาคนนั้นก็จะคลายทุกข์ และมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไปอย่างแน่นอน

เมื่อมีปัญหา

ในชีวิตของคนเรา ปัญหาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่มีใครจะหนีปัญหาได้พ้น เพราะฉะนั้น ถ้าตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาอยู่ อย่าเพิ่งวิตกกังวล หรือกลุ้มอกกลุ้มใจมากจนเกินไปเลย เรามาช่วยกันคิดแก้ปัญหาดีกว่า ตามปกติวิธีแก้ปัญหาจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือการสู้ การหนี และการรอมชอม ซึ่งแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้

การสู้ หมายถึง การพยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างสุดกำลัง ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลัง ทรัพย์ เรียกว่าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได ้และถ้าลองแก้ปัญหาด้วยวิธีหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้ผลก็จะหันไป ลองใช้อีกวิธีหนึ่ง เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผล หรือแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องลอง ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพื่อเขาจะช่วยได้ วิธีนี้เรียกว่า สู้ยิบตาไม่ยอมแพ้จนกว่าปัญหาจะหมดไป

วิธีต่อมา คือ การหนี หมาย ถึง การหลบเลี่ยงปัญหา อาจหลบไปชั่วคราวเพื่อไปตั้งหลัก แล้วกลับมาสู้ใหม่ หรือจะเป็นการหนีเพื่อยอมแพ้ ในกรณีที่ยังรู้สึกว่าปัญหานั้น มันอยู่นอกเหนือความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ สู้ต่อไปก็เสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ที่มีประโยชน์กว่าไม่ได้

วิธีสุดท้าย คือ การรอมชอม หมายถึง ถ้าปัญหานั้นเราจะสู้ก็ไม่ไหว จะหนีก็หนีไม่พ้น เรา ควรใช้วิธีปรับตัวปรับใจ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่เครียดจน เกินไป

คุณคิดว่าจะใช้วิธีไหนแก้ปัญหาของคุณดี อยากแนะนำว่าให้คุณลองสู้ให้สุดความสามารถ ก่อน ถ้าไม่ไหวอาจถอยมาตั้งหลักสักพัก แล้วค่อยสู้ใหม่แต่ถ้าสู้ไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปรับตัว ปรับใจให้ยอมรับปัญหานั้นให้ได้ต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้คุณแก้ปัญหาของคุณได้ในที่สุด

วิธีเอาชนะความเศร้า

คุณกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะเศร้าเพราะสาเหตุใด จะเพราะสูญเสียคนรัก ของรักหรือผิดหวัง ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนาก็แล้วแต่ ขอให้คุณระบายอารมณ์เศร้าออกมาให้มากที่สุด อยากร้องไห้ก็ร้องเสียให้พอ อยากบอกความทุกข์ในใจกับใครก็จงพูดออกมา หรือจะเขียนเป็นจดหมาย เป็นบันทึก หรือเป็นบทกลอนก็ได้ สุดแต่ว่าคุณจะถนัดอย่างไหน การระบายความเศร้าออกไป จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น นอกจากนี้ การจมอยู่กับความเศร้า ไม่สนใจดูแลตัวเองไม่กิน ข้าวกินปลา เอาแต่เก็บตัวอยู่ตามลำพัง ฟังแต่เพลงเศร้าๆ ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะยิ่งทำให้ตัวเองทรุดโทรมลง จนอาจถึงขั้นเจ็บป่วยได้ ขอให้คุณแข็งใจลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวันอย่างเดิม พยายามกินอาหาร เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พยายามฝืน ใจทำงานจะเป็นงานบ้าน งานอดิเรก หรืองานอาชีพก็ได้ งานจะช่วยหันเห ความสนใจของคุณไปเสีย จากความเศร้า และงานยัง จะช่วยให้คุณ เห็นคุณค่าของตัวเอง ที่มีต่อคนอื่นด้วยโดยเฉพาะงานกุศล หรืองานช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก จะทำให้คุณเลิกสงสารตัวเอง เลิกหมกมุ่นกับความเศร้าได้อย่างวิเศษ แต่ ถ้าคุณหรือคนใกล้ชิด มีอารมณ์เศร้าอยู่เป็นเวลานาน และมีความคิดอยากตายด้วย อย่าได้นิ่งนอนใจเป็นอันขาด ขอได้ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อขอรับการรักษาโดยด่วน ก่อนที่จะสายเกินไป

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

เสียงหัวเราะ มาจากไหน

คุณเคยสงสัยเรื่องเสียงหัวเราะบ้างหรือเปล่า ทำไมคนเราถึงเปล่งเสียงแปลกๆ เหล่านั้นออกมา เสียงเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไร เสียงหัวเราะหึๆ นั้นมาจากไหน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และน่าสนใจมากทีเดียว
เรามักคิดกันเอาเองว่า การหัวเราะเป็นพัฒนาการขั้นสูงของมนุษย์ สมองของเราทำให้เรารู้สึกสนุกเมื่อมีการเล่นหรือผวนคำแบบต่างๆ แม้ว่าการคิด มุขตลกจะคิดได้เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่การหัวเราะหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งลิงชิมแปนซี กอริลลา หรือแม้แต่หนูก็หัวเราะได้ ถึงแม้ว่าสัตว์เหล่านี้จะไม่ขำกับมุขตลกของโฮเมอร์ ซิมสัน (การ์ตูนตลกเสียดสีของคนอเมริกัน-ผู้แปล) แต่พวกมันก็หัวเราะกันมาช้านานกว่ามนุษย์เสียอีก สิ่งนี้ชี้ให้เห็นจุดกำเนิดของการหัวเราะ ว่ามีอะไรมากกว่าที่คุณคาดคิด



เราอาจจะรู้ว่าอะไรทำให้เราขำจนท้องคัดท้องแข็ง แต่การที่จะรู้ว่าเพราะอะไรคนเราจึงหัวเราะนั้น กลับเป็นปัญหาที่ยากจะหาคำตอบ

แทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่า การหัวเราะเป็นกิจกรรมทางสังคม “เสียงหัวเราะเป็นเสมือนสัญญาณส่งผ่านไปยังผู้อื่น และถ้าคนเราอยู่เพียงลำพัง เสียงหัวเราะนั้นก็มลายหายไป” โรเบิร์ต โพรวีน นักประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้แต่งหนังสือ Laughter: A scientific investigation กล่าว และเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานวิจัยชิ้นแรกที่ทำการศึกษาอย่างจริงจังในการ ค้นหาว่าอะไรทำให้มนุษย์เราหัวเราะ โพรวีนพบว่า โดยทั่วไปแล้วเสียงหัวเราะเกิดจากการตอบสนองอย่างสุภาพต่อเรื่องที่คนเราพูด คุยกันทั่วไป อย่างเช่น “มันต้อง เกิดขึ้นแน่” มากกว่าเรื่องตลกอื่นๆ จากการสังเกตของคณะศึกษาอีกกลุ่มก็พบว่า เสียงหัวเราะทำหน้าที่เสมือนเป็นกาวสมานทางสังคม อย่างเด็กทารกจะเริ่มขำเมื่อมีอายุได้ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กเริ่มจะแยกแยะและจดจำใบหน้าของแต่ละคนได้ และวิธีที่คนเราหัวเราะก็ขึ้นอยู่กับกลุ่ม เพื่อนที่เราอยู่ด้วย อย่างพวกผู้ชายมักจะหัวเราะยาวๆ ดังๆ เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกัน บางทีการหัวเราะแบบนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะหัวเราะเสียงแหลมและหัวเราะบ่อยขึ้นเมื่ออยู่ต่อ หน้าเพศตรงข้าม ซึ่งอาจแสดงถึงความสนใจต่อเพศตรงข้าม หรือแสดงการยอมรับในอำนาจของอีกฝ่าย

โดยทั่วไป สิ่งที่ทำให้คนเราหัวเราะก็คือ การเล่นคำ แต่หากต้องการค้นหาต้นกำเนิดของการหัวเราะจริงๆ เราคงต้องค้นให้ลึกกว่านี้อีก โพรวีนพบว่า กุญแจสำคัญของการหัวเราะอยู่ที่การเล่น เขาคิดว่าผู้ที่เป็นเจ้าแห่งเสียงหัวเราะก็คือเด็กๆ และจะเห็นเด็กๆ หัวเราะได้อย่างชัดเจนก็ตอนที่พวกเขากำลังเล่นโหวกเหวกเสียงดังอย่างไม่มี กติกาใดๆ เขากล่าวว่า “จุดเริ่มต้นของการหัวเราะคือการจี้ ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ที่การเล่น” การหัวเราะประกอบกับการเล่นนี้ช่วยย้อนเวลากลับไปหาบรรพบุรุษของเรา โพรวีน กล่าวอีกว่า “เมื่อจี้ลิงชิมแปนซี มันจะมีใบหน้าที่อารมณ์ดีและเปล่งเสียงออกมา” เสียงหัวเราะของมันจะมีลักษณะเหมือน เสียงลมหายใจหอบทางปาก

ผู้สังเกตสิ่งมีชีวิตพวกไพรเมตที่มีชื่อเสียงอย่าง ไดแอน ฟอสซี และ เจน กูดออล ได้เคยตั้งข้อสังเกตว่า ลิงชิมแปนซีหัวเราะขณะที่มีการเล่น และลิงชิมแปนซีก็มีจุดขำเช่นเดียวกับคนเรา แต่ลักษณะของเสียงหัวเราะระหว่างคนกับลิงก็ยังเปรียบเทียบกันไม่ได้ โพรวีน เคยทดสอบโดยให้นักศึกษา 119 คน ของเขาฟังเสียงหัวเราะแบบพ่นลมทางปากจากเทปบันทึก มีนักศึกษาเพียงสองคนเท่านั้นที่ตอบถูกว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงสัตว์อะไร ส่วนนักศึกษาที่เหลือตอบว่าเป็นเสียงหายใจทางปาก บ้างก็ตอบว่าเป็นเสียงเลื่อยกำลังเลื่อย

ความแตกต่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนระหว่างการหัวเราะของคนกับลิงชิมแปนซีก็คือ เวลาที่คนหัวเราะ เสียงหัวเราะจะเกิดจากการแบ่งลมหายใจหนึ่งครั้งออกเป็นช่วงๆ เป็นเสียงฮะ ฮะ ฮ่า ในขณะที่ลิงชิมแปนซีไม่สามารถควบคุมจังหวะการหายใจได้ เสียงหัวเราะของมันแต่ละครั้งจะเป็นเสียงที่เกิดจากการหายใจเข้าหรือออกแต่ละครั้ง สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ การหัวเราะหอบทางปากของสัตว์กับการหัวเราะของคนนั้นมีจุดกำเนิดเดียวกันหรือไม่

งานวิจัยชิ้นใหม่ๆ มีแนวโน้มที่สนับสนุนว่า สิ่งที่ทำให้คนและสัตว์หัวเราะนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน การค้นพบนี้เป็นผลงานของ เอลค์ ซิมเมอร์แมน หัวหน้าสถาบันสัตววิทยาแห่งคณะสัตวแพทยศาสตร์ฮานโนเวอร์ ในประเทศเยอรมนี เขาได้เปรียบเทียบเสียงที่เกิดจากการตอบสนองต่อการจั๊กกะจี้ของเด็กทารกและโบโนโบ (bonobo เป็นลิงชิมแปนซีชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กกว่า ขนสีดำ เรียกอีกอย่างว่า ชิมแปนซี ปิ๊กมี่ - กองบ.ก.) ในช่วงเวลาขวบปีแรก โดยใช้เครื่องสเปกโตรกราฟวัดระดับความสูงของเสียง เธอพบว่าทั้งโบโนโบและเด็กทารกมีรูปแบบการหัวเราะที่ เหมือนกัน แต่มีระดับเสียงที่แตกต่างกัน โดยโบโนโบมีระดับเสียงที่สูงกว่า
ซิมเมอร์แมนเชื่อว่า ความคล้ายคลึงกันระหว่างเสียงหัวเราะของโบโนโบและเด็กทารก สนับสนุนความคิดที่ว่า การหัวเราะถือกำเนิดขึ้นมายาวนานกว่าที่มนุษย์เราจะอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้เสียอีก โพรวีนยังยืนยันอีกว่า “เสียงหัวเราะฟืดฟาดของลิงชิมแปนซีได้กลายมาเป็นเสียงหัวเราะฮะฮ่าของคน” และจุดเริ่มต้นในการปรับจังหวะผ่อนลมหายใจเกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์ที่สนุกสนาน และบ่งบอกถึงความพึงพอใจ เขาสรุปว่า “เสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเล่น และมันอาจเป็นตัวอย่างที่ดีว่า เสียงหัวเราะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นมีวิวัฒนาการมาได้อย่างไร”


ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งเสียงหัวเราะก็คือเด็กๆ และจะเห็นเด็กๆ หัวเราะได้อย่างชัดเจนก็ตอนที่พวกเขากำลังเล่นโหวกเหวกเสียงดังอย่างไม่มี กติกาใดๆ

การค้นหาว่าการหัวเราะเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้นเป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ คนและลิงชิมแปนซีมีบรรพบุรุษร่วมกันมาไม่ต่ำกว่า 8 ล้านปี แต่สัตว์ชนิดอื่นๆ อาจจะหัวเราะเสียงดังมาก่อนหน้านั้นก็เป็นได้ สัตว์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกไพรเมต รวมทั้งลิงกอริลลานั้นก็หัวเราะ มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าพวก แคนิดส์ (canids สัตว์กินเนื้อวงศ์ สุนัข-กองบ.ก.) และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่กันเป็นกลุ่มก็หัวเราะเป็นด้วย

ซิมเมอร์แมนกับเพื่อนร่วมงานของเธอได้ทดสอบในเรื่องนี้โดยการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบว่า การหัวเราะในหมู่ฝูงสัตว์เกิดขึ้นได้อย่างไร จวบจนทุกวันนี้หลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับ การหัวเราะของสัตว์นอกเหนือจากกลุ่มไพรเมต มาจากการศึกษาของ เจก แพงค์เซปป์ จากมหาวิทยาลัยโบว์ลิง- กรีนสเตต ในรัฐโอไฮโอ เขาได้ศึกษาเสียงร้องสูงแหลมและสั้นซึ่งมีความถี่เหนือเสียงของหนู ซึ่งหนูจะเปล่งเสียงนี้ขณะที่มันเล่น หรือถูกจี้ หากจะพิจารณาถึงบรรพบุรุษของหนูและคนก็จะพบว่า บรรพบุรุษร่วมระหว่างหนูและคนนั้นต่างมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 75 ล้านปีที่แล้ว

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ยังมิได้ตอบคำถามที่ว่า เพราะอะไรคนเราจึงหัวเราะ ความจริงนักคิดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเพลโต กาลิเลโอ และดาร์วิน ต่างก็เคยได้ขบคิดเรื่องนี้มาอย่างน้อยเมื่อสองพันปีที่แล้ว มีความคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เสียงหัวเราะและการจั๊กกะจี้มีจุดกำเนิดมาจากการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก ส่วนความคิดอื่นๆ ในเรื่องนี้ก็เชื่อว่า เสียงหัวเราะเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองแบบอัตโนมัติ (รีเฟลกซ์) ต่อการจั๊กกะจี้ ซึ่งเป็นการป้องกันตัว กระตุ้นให้คนเราเกิดความระมัดระวังต่อสัตว์ที่กำลังคลานอยู่ตรงหน้า ที่อาจทำอันตรายต่อเราได้ หรือเป็นการบังคับให้เราปกป้องอวัยวะบางส่วน เช่น ท้อง อันเป็นอวัยวะที่บอบบางและถูกทำอันตรายได้ง่ายเมื่อมีการต่อสู้กันด้วยมือเปล่า แต่ความคิดที่ได้รับการยอมรับในไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในหมู่นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการก็คือ การหัวเราะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการจั๊กกะจี้ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงถึงความไว้วางใจในกันและกัน

การจั๊กกะจี้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดความสนุกสนาน แต่ถ้าจั๊กกะจี้นานเกินไปก็ทำให้รู้สึกทรมานได้ ความจริงแล้วในยุคกลางจะใช้วิธีจั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษ

สมมติฐานนี้เริ่มจากการสังเกตว่า การจั๊กกะจี้เพียงเล็กน้อยจะทำให้เกิดความสนุกสนาน แต่ถ้าจั๊กกะจี้นานเกินไปก็ทำให้รู้สึกทรมานได้ ความจริงแล้วในยุคกลางจะใช้วิธีจั๊กกะจี้เป็นเครื่องมือในการทรมานนักโทษ ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าการจั๊กกะจี้จะทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เรากลับตอบสนองด้วยการหัวเราะ และแสดงสีหน้าที่บอกว่า “ช่วยจี้ต่อไป ฉันกำลังมีความสุข” การหัวเราะจึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรารู้ว่า การจั๊กกะจี้นั้นมิใช่การทำร้ายกันแต่อย่างใด การหัวเราะโดยธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ของความ ไว้วางใจ ทอม แฟล็มสัน นักวิจัยเรื่องการหัวเราะแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองลอสแองเจลิส กล่าวว่า “การหัวเราะเป็นการแสดงโดยอัตโนมัติ และยากต่อการเสแสร้ง เป็นสัญลักษณ์แสดงความซื่อสัตย์”

มีข้อสงสัยที่ว่าการจั๊กกะจี้สร้างความไว้วางใจระหว่างผู้จี้กับผู้ถูกจี้ จริงหรือ แฟล็มสันกล่าวว่า “การยอมรับจะเกิดขึ้นตามมาทีหลัง ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เพราะมีผลการศึกษาในสัตว์ที่ไม่ใช่พวกไพรเมตในทำนองนี้ด้วยเช่นกัน” แม้แต่ในพวกหนู การหัวเราะ การจั๊กกะจี้ การเล่น และความไว้วางใจถือเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ แพงค์เซปป์ บอกว่า “หนูจะส่งเสียงแหลมสูงและสั้นแทบจะตลอดการเล่น และเสียงแหลมสูงและสั้นนี้สามารถกระตุ้นได้โดยการจั๊กกะจี้ หลังจากนั้น พวกหนูก็จะเริ่มคุ้นเคยและไว้วางใจคน”
เราไม่มีวันรู้ว่าสัตว์ชนิดใดที่หัวเราะ เป็นชนิดแรก และหัวเราะด้วยเหตุอันใด แต่เราก็มั่นใจว่าเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้เกิดจากการตอบสนองต่อมุขตลกสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ มันเป็นเรื่องน่าขันที่ว่า จุดเริ่มต้นของการหัวเราะอาจเป็นเรื่องจริงจัง แต่เราก็เป็นหนี้บุญคุณต่อเรื่องตลกหรือการเล่นคำซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของมนุษย์เรา ในขณะที่สัตว์ประเภทอื่น หัวเราะแบบฟืดฟาด มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวที่สามารถควบคุม ลมหายใจได้ดีพอที่จะทำเสียง ฮะ ฮะ ฮ่า ได้ แล้วการหัวเราะครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะหากไม่มีการควบคุมการหัวเราะ หรือมัวแต่หัวเราะอยู่ คนเราก็คงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างแน่นอน