วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

วัคซีนมาจากไหน


วัคซีน

วัคซีน (อังกฤษ: vaccine) เป็นสารที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์หรือสัตว์ ให้สามารถป้องกันร่างกายจากอาการติดเชื้อเฉพาะอย่างได้ โดยการติดเชื้อนี้ ส่วนใหญ่มาจากแบคทีเรีย, ไวรัส, หรือสารพิษ

วัคซีนบางชนิดผลิตจากแบคทีเรียหรือไวรัสที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์แล้ว หรือทำจากสารพิษที่ถูกทำให้หมดความเป็นพิษแล้ว บางชนิดผลิตจากการนำส่วนที่ก่อโรคของเชื้อจุลชีพมาเพียงบางส่วน สร้างโดยการสังเคราะห์จากเทคโนโลยีชีวภาพ ตัวอย่างของวัคซีนที่สร้างจากเชื้อที่ทำให้อ่อนแรง ได้แก่ วัคซีนโปลิโอชนิดหยอด (OPV) วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (MMR) วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella)วัคซีนงูสวัด ตัวอย่างของวัคซีนที่สร้างจากสารพิษ ได้แก่ วัคซีนคอตีบ-ไอกรน-บาดทะยัก (DPT) ตัวอย่างของวัคซีนที่สร้างจากเทคโนโลยีชีวภาพ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบบี (HBV) วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี (JE vaccine)

หลักการโดยทั่วไปของวัคซีนคือ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายรู้จักกับเชื้อที่ไม่เคยเจอมาก่อน เพื่อที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะได้รู้ว่าจะรับมือกับเชื้อชนิดนั้น ๆ ได้อย่างไร



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี





การค้นพบวัคซีนฝีดาษ

ฝีดาษหรือไข้ทรพิษ (small pox) เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมากโรคหนึ่ง Abu Bakr Mohammad Ibanal Zakariya al-Razi (865-925) แพทย์ชาวอิหร่านเป็นคนแรกที่บรรยายโรคนี้ในตำราภาษาอาหรับชื่อ kitab fi al-judari wa al-Hasbah. ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีตุ่มพุพองตามร่างกายและมีอัตราการตายสูง เชื้อโรคนี้จึงมีชื่อว่า Variola มาจากภาษาละติน "varus" ที่แปลว่า "ตุ่มตามตัว" จากหลักฐานการตรวจมัมมี่พบว่าโรคนี้น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณแล้ว ความน่ากลัวของมันทำให้มนุษย์ต้องคิดค้นหาทางป้องกัน

มีบันทึกถึงการป้องกันโรคนี้ครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อลูกชายของนายกรัฐมนตรี Wang Tan (957-1017) เสียชีวิตจากโรคนี้ เขาจึงประกาศหาคนที่ทราบวิธีป้องกันโรค มีนักบวชผู้หนึ่งจากมณฑลเสฉวน เขาหรือเธอ (ข้อมูลไม่ได้ระบุเพศไว้) นำเชื้อจากคนที่เป็นโรคใส่ในโพรงจมูกคนปกติพบว่าสามารถ ป้องกันโรคได้ วิธีนี้เรียกว่า inoculation ซึ่งพัฒนาต่อๆ มาจนเปลี่ยนไปทำที่ผิวหนังแทน วิธีการนี้ไปสู่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีผ่านทางคาราวานสินค้า เมื่อ ค.ศ. 1670

ฝีดาษ เริ่มปรากฏในประเทศอังกฤษราว ค.ศ. 1240 จากนั้นก็ระบาดไปทั่วยุโรป ค.ศ. 1715 Lady Mary Wortley Montagu (1698-1762) ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในอังกฤษขณะนั้นป่วยเป็นฝีดาษเป็นผลให้เธอเสียโฉม
เดือนมีนาคม ค.ศ. 1718 สามีของเธอย้าย ไปประจำที่สถานทูตในกรุงอิสตันบูล เธอจึงได้รู้จัก inoculation และมอบหมายให้ Charles Maitland (1688-1744) ศัลยแพทย์ชาวสก๊อต inoculate ลูกชายวัย 5 ขวบของเธอ พอถึงเดือนเมษายนค.ศ. 1721 เธอกลับมาที่กรุงลอนดอนและให้ Maitland ทำเช่นเดียวกันกับลูกสาววัย 4 ขวบท่ามกลางแพทย์ทั้งหลาย

พระราชินีแห่งเวลส์ทราบข่าวจึงพระราชทานอนุญาตให้ Maitland ทำการทดลองกับนักโทษจำนวน 6 คนในเดือนสิงหาคมปีนั้นเอง ซึ่งได้ผลดีในเดือนเมษายนปีต่อมาเขาก็ได้ inoculate ให้กับพระธิดาทั้งสองของพระองค์ วิธีการนี้จึงเป็นที่ยอมรับตั้งแต่นั้นมาจนมีการก่อตั้งโรงพยาบาลเพื่อทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ

ต่อมา ค.ศ. 1768 Robert Sutton เสนอวิธีใหม่ในการ inoculate โดยเขาใช้เข็มเจาะเลือดปลายนิ้ว (lancet) เจาะตุ่มในผู้ป่วยแล้วนำไปจิ้มต้นแขนคนปกติ

ค.ศ. 1774 เกิดการระบาดของฝีดาษที่ชนบทใน Yetminster เกษตรกรชาวอังกฤษ Benjamin Jesty (1737-1816) ซึ่งเคยเป็นโรคนี้ตอนเด็ก เขาสังเกตว่ามีคนงานรีดนม 2 คนสัมผัสโรคแต่ไม่ป่วย สอบถามจึงทราบว่าทั้ง 2 เคยเป็นฝีดาษวัว (cow pox) มาก่อน โชคดีที่มีฝีดาษวัวระบาดที่ฟาร์มใกล้เคียง Jesty จึงใช้เข็มขีดที่แขนของภรรยาและลูกชายอีก 2 คนแล้วใส่หนองจากวัวที่ติดเชื้อลงไป ทั้งสามผ่านการระบาดไปได้โดยไม่ติดเชื้อ

Edward Jenner (1749-1823) แพทย์ชาวอังกฤษที่ชนบทในเมือง Berkeley ขณะนั่งดูชาวบ้านทำงานในฟาร์ม เขาได้ยินหญิงรีดนมโค 2 คนพูดหยอกล้อกันว่า "พวกเราไม่เป็นฝีดาษหรอกเพราะเราเคยเป็นฝีดาษวัวแล้วไง" พูดเสร็จก็หัวเราะกันใหญ่เพราะคนส่วนมากจะขำไปกับมุขนี้. Jenner ก็เช่นกันแต่ เมื่อเขาหัวเราะจบ เรื่องไม่ได้จบอยู่แค่นั้น เขาคิดได้ว่าคนรีดนมวัวที่เคยเป็นฝีดาษวัวแล้ว อาจจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคฝีดาษ?

เหตุการณ์สำคัญเริ่มต้นเมื่อเขาพบ Sarah Nelmes ซึ่งเป็นฝีดาษวัว และมีแผลที่นิ้วมือ Jenner รู้จักกับ James Phipps เด็กชายวัย 8 ขวบซึ่งยังไม่เคยเป็นทั้งฝีดาษวัวและฝีดาษ เขาจึงไปขออนุญาตจากผู้ปกครองและได้รับความยินยอมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1796 เขาทดลองโดยข่วนที่แขนของเด็กแล้วนำหนองจาก Nelmes หยดลงที่รอยข่วน. อีก 2 เดือนต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม เขาก็ inoculate เด็กด้วยหนองจากผู้ป่วยฝีดาษ ปรากฏว่าเด็กไม่มีอาการของโรคเลย

เขาประสบความสำเร็จในการทดลองกับอาสาสมัครอีก 23 คน Sir Walter Farguhar แนะนำให้เขาเก็บเป็นความลับเพราะมันจะทำเงินมหาศาล แต่ เขาก็ส่งรายงานไปที่ราชสมาคมแห่งลอนดอนเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร Philosophical Transactions แต่ถูกปฏิเสธ. เขาจึงทำการทดลองเพิ่มเติมและใช้ทุนส่วนตัวพิมพ์หนังสือเองชื่อ An Inquiry Into the causes and effects of Variolae Vaccinae ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1798

ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก Jesty กระทั่ง ค.ศ. 1797 เขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ Purbeck ผู้คนจึงทราบว่ามีการพบสิ่งนี้ก่อน Jenner ถึง 20 ปี มีแต่คนยกย่องว่า Jenner เป็นคนค้นพบเรื่องนี้ แต่ตัวเขาเองไม่เคยยอมรับมัน ตลอดเวลาเขาทุ่มเทให้กับการป้องกันโรคนี้ จนกระทั่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1823 โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดจากอะไร
ในเรื่องนี้ Jenner แสดงให้เห็นว่ แม้จะไม่ได้ทำงานอยู่ในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงแต่ถ้าเรามีความพยายามใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ และสนใจในสิ่งรอบข้างแม้มันจะดูไร้สาระก็ตามคุณก็สามารถค้นพบสิ่งสำคัญๆ ได้



ข้อมูลจาก มูลนิธิหมอชาวบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น