วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หญ้าแฝก มาจากไหน

หญ้าแฝก (อังกฤษ:Vetiver Grass ;ชื่อวิทยาศาสตร์ : Vetiveria Zizanioides Nash) เป็นพืชที่ มีระบบรากลึกและแผ่กระจายลงไปในดินตรงๆ ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย มีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆ เกษตรกรไม่ต้องดูแลหลังการปลูกมากนักและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีอื่นๆอีก ด้วยเป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม.มีส่วนกว้าง 5-9 มม. สามารถขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อจากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้


สายพันธุ์

หญ้าแฝกมีอยู่ 2 สายพันธุ์คือ

* หญ้าแฝกดอน รากไม่มีกลิ่น, ใบโค้งงอ, สูงประมาณ 100-150 เซนติเมตร
* หญ้าแฝกหอม มีรากที่มีกลิ่นหอม, ใบยาวตั้งตรง, สูงประมาณ 150-200 เซนติเมตร

โดยมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้

* ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
* อนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน
* ป้องกันความเสียหายของบันไดของดิน
* ช่วยในการฟื้นฟูดิน

หญ้าแฝกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

มื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 IECA ได้มีมติถวายรางวัล The International Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในฐานะที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้อนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝก ชุบสำริด ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ (award of recognition) ในฐานะที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในประเทศไทย ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดอกไม้ มาจากไหน

ดอกไม้ คือโครงสร้างการขยายพันธุ์ของพืชดอก (พืชในส่วน Magnoliophyta หรือเรียกว่า angiosperm) การทำงานเชิงชีววิทยาของดอกไม้มักจะเป็นการขยายพันธุ์ด้วยกลไกแบบสเปิร์มกับ ไข่ การปฏิสนธิของดอกไม้สามารถเกิดได้ข้ามดอก (การรวมตัวของสเปิร์มและไข่ที่มาจากดอกอื่นหรือต้นอื่นในกลุ่มประชากร) หรือเกิดในตัวเองก็ได้ (การรวมตัวของสเปิร์มและไข่ในดอกเดียวกันนั้น) ดอกไม้บางชนิดผลิตส่วนแพร่พันธุ์ (diaspore) โดยไม่ต้องมีการปฏิสนธิ (การเกิดผลลม) ดอกไม้จะมีอับสปอร์ (sporangia) เป็นแหล่งสร้างแกมีโทไฟต์ ดอกไม้คือส่วนที่เกิดเป็นผลไม้และเมล็ด ดอกไม้หลายชนิดวิวัฒนาการตัวเองเพื่อดึงดูดสัตว์เช่นแมลง เพื่อให้เป็นตัวช่วยส่งถ่ายละอองเรณู



นอกจากการเอื้ออำนวยต่อการขยายพันธุ์ของพืชดอก ดอกไม้ยังเป็นที่นิยมชมชอบและใช้เพื่อตกแต่งสภาพแวดล้อมในสังคมมนุษย์ และดอกไม้ก็เป็นตัวแทนแห่งความรักใคร่ ความเชื่อ ศาสนา สามารถใช้เป็นยารักษาโรคและแหล่งอาหารได้

ส่วนประกอบ
ดอกไม้มีส่วนประกอบหลักอยู่ 4 อย่าง

1.กลีบเลี้ยง

2.กลีบดอก

3.เกสรตัวผู้

4.เกสรตัวเมีย

ชนิดของดอกไม้

1.ดอกสมบูรณ์เพศ คือดอกไม้ที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น ชบา มะเขือ กุหลาบ บัว ถั่ว มะลิ เฟื่องฟ้า อัญชัน ข้าว ต้อยติ่ง แค ผักบุ้ง เป็นต้น

2.ดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือดอกไม้ที่แต่เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มะยม ตำลึง แตงกวา เงาะ ฟักทอง มะพร้าว บวบ มะระ มะเดื่อ ข้าวโพด เป็นต้น

แบ่งตามส่วนประกอบ

1.ดอกสมบูรณ์ คือดอกไม้ที่มีส่วนประกอบครบทั้ง 4 อย่างใน 1 ดอก ได้แก่ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย กลีบเลี้ยง กลีบดอก เช่น มะลิ อัญชัน พริก แค ต้อยติ่ง การเวก ชงโค กุหลาบ เป็นต้น

2.ดอกไม่สมบูรณ์ คือดอกไม้ที่ไม่ได้มีส่ววนประกอบครบทั้ง 4 อย่างใน 1 ดอก อาจขาดส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งไป เช่น ข้าว ข้าวโพด หญ้า แตงกวา มะระ มะละกอ จำปา จำปี บานเย็น มะยม มะพร้าว เป็นต้น
แบ่งตามเพศ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้ำผึ้ง มาจากไหน

น้ำผึ้ง คือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ (nectar) โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆ บ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า “น้ำผึ้งสุก” เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกิน 20-21 เปอร์เซ็นต์



น้ำผึ้งในตำรับยาไทย

เมื่อรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นเภสัชทานแล้ว ฉันก็ยังอยากรู้ต่อไปว่า น้ำผึ้งยาไทยได้อย่างไรบ้าง หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา - น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนคนไข้กินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด
น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา - น้ำกระสายยา คือ ส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ได้จากพืช อาทิ น้ำมะนาว ได้จากธาตุ เช่น เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ ได้จากสัตว์ เช่น งาช้าง รวมถึงน้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง
ว่ากันว่าน้ำผึ้งเดือน 5 เป็นน้ำผึ้งที่ดีที่สุด เนื่องด้วยอากาศที่แห้ง จึ้งทำให้น้ำผึ้งมีความเข้มข้นสูง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง
ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลย เช่น คนที่ดีพิการ คือ มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง นอนสะดุ้งผวา สอง เสมหะพิการ คือมีเสมหะมากและมีภาวะโรคปอดแทรก สาม คนที่น้ำเหลืองเสีย มีฝีพุพอง ตุ่มหนอง หรือโรคครุฑราชต่างๆ

น้ำผึ้งในตำรายาจีน

ภาษาจีน แต้จิ๋ว เรียกน้ำผึ้งว่า "พังบิ๊ก" เป็นยาบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะบำรุงลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ลดความร้อนในร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย และยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย น้ำผึ้งมีรสชาติหวาน ชุ่มคอ สามารถใช้ได้ทั้งเดี่ยว และนำไปเป็นส่วนผสมของยา กรณีที่ใช้เดี่ยวโดยมากใช้ในกรณีลำไส้ไม่ดี

ถ้าร่างกายแข็งแรงอยู่แล้ว กินน้ำผึ้งประจำจะไปช่วยเคลือบลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้จะแข็งตัว ถ้าปล่อยให้ท้องผูกนานๆ กากอาหารจะขูดผนังลำไส้ อาจทำให้เป็นแผล และมีปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งถ้าเรากินน้ำผึ้งเพื่อช่วยเคลือบลำไส้จะช่วยลดปัญหาลงได้

สารสำคัญในน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟลุคโตส และเลวูโรส ประมาณ 79 เปอร์เซ็นต์ โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ กรดชนิดต่างๆ ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบเฟลวิน, ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม, แมกนีเซียม, โปตัสเซียม, ฟอสฟอรัส)ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี่

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยา คือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารแอนตี้ออกซิแดนด์ซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบโฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี

หลากประโยชน์จากนมผึ้ง

นมผึ้ง (Royal Jelly) หรือ วุ้นนางพญา เป็นผลิตภัณฑ์จากรังผึ้ง มีลักษณะเป็นของเหลวข้น สีขาวครีม มีกลิ่นออกเปรี้ยว รสค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย ผลิตจากต่อม Hypopharyngeal ที่อยู่ในส่วนหัวของผึ้งงาน ซึ่งเป็นผึ้งที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูตัวอ่อนและป้อนอาหารให้แก่นางพญา นมผึ้งที่สร้างผลิตขึ้น จะกลายเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงราชินีและตัวอ่อนของผึ้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงให้ราชินีมีอายุยืนยาวและตัวอ่อนผึ้งเติบโตแข็งแรงต่อไป

นมผึ้งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดตามธรรมชาติ สำหรับผู้หญิงที่ตัดมดลูกแล้ว ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมน ทำให้กินอะไรเข้าไปร่างกายจะไม่ค่อยดูดซึม ร่างกายจึงผอมลง และหงุดหงิดง่าย แต่เมื่อกินฮอร์โมนสังเคราะห์ทดแทนก็มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ เราจึงแนะนำให้คนที่ผ่าตัดมดลูกลองกินนมผึ้งที่มีฮอร์โมนจากธรรมชาติ กินทีละน้อยร่างกายก็จะค่อยปรับไปตามธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ผิวพรรณก็จะกลับมาผุดผ่องตามธรรมชาติ

สำหรับคนที่มีอาการเครียด นอนไม่หลับ และเป็นภูมิแพ้ว่าควรรับประทานนมผึ้งเพราะ ในนมผึ้งมีกรดที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ Decenonic acid ซึ่งเป็นกรดธรรมชาติที่ช่วยคลายเครียด และทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้นมผึ้งยังอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด ที่สำคัญคือวิตามินบี ได้แก่ ไธอามีน ไรโบฟลาวิน ไบโอติน ฯลฯ ซึ่งเป็นสารจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของโปรตีน และเชื่อกันว่าเป็นวิตามินต่อต้านความเครียด รวมถึงกรดโฟลิกและวิตามินบี 12 ซึ่งชนิดป้องกันโรคโลหิตจางได้ และยังมีอะเซตทิลคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นต่อระบบการทำงานของระบบประสาทในมนุษย์ และมีสารประกอบชีวเคมีไอโนซิทอล ซึ่งช่วยขจัดไขมันตกค้างในตับ ลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด

ผึ้งแต่ละรังจะผลิตนมผึ้งในปริมาณน้อย นมผึ้งจึงมีราคาสูง นมผึ้งสดๆ จะเก็บได้ไม่นาน จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนมากจะผลิตเป็นแคปซูล หากผลิตอย่างดีมีคุณภาพจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของนมผึ้งไว้

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขนมผิง มาจากไหน

ขนมผิง เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งผสมกับน้ำตาล แล้วนำไปอบจนกรอบ มีสีเหลืองนวล



ที่มา
ขนมผิงมีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปรตุเกส โดยหญิงสาวที่มีชื่อว่า มารี กีมาร์ หรือท้าวทองกีบม้า ลูกครึ่ง โปรตุเกส-ญี่ปุ่น และเบงกอลที่เกิดในอาณาจักรอยุธยา หลังจากที่ทหารญี่ปุ่นชุดแรกได้เข้ามาเป็นทหารอาสาในแผ่นดินของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่นานนักนางมารี กีมาร์ ก็ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น และได้สอนการทำขนมหวาน อาทิ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมผิง ให้กับผู้ที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดกับเธอและสาวๆเหล่านั้นก็ได้นำสูตรขนมออกมาถ่ายทอดต่อไป

ขนมผิงโบราณ
ขนมผิงในสมัยก่อนจะมีรสหวาน กลิ่นหอมที่ยั่วยวนใจ สีน้ำตาล และเมื่อรับประทานจะละลายในปากทันที ซึ่งต่างกับในสมัยปัจจุบันที่ทำสีสันเพิ่มเติม อาทิ สีชมพู สีเขียว และสีเหลือง นอกจากนั้นเนื้อแป้งยังแข็งขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เพราะว่าป้องกันไม่ให้ขนมผิงที่บรรจุห่อขายนั้นแตกหักได้ง่าย แต่เดิมนั้นขนมผิงจะถูกบรรจุอยู่ในโหลแก้วเล็ก ๆ และประดับด้วยโบว์ เพื่อใช้เป็นของขวัญใน วันปีใหม่ หรือ วันแห่งความรัก

ส่วนประกอบ
แป้งมัน 6 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 1 1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) 2 ฟอง
เทียนอบ

ขั้นตอนการทำ
เคี่ยวกะทิบนไฟอ่อน เติมน้ำตาล เคี่ยวจนเดือดไม่แตกมัน
ใส่แป้งลงในกะทิ เริ่มทีละช้อน ค่อยกวนจนแป้งสุก จับเป็นก้อน รอเย็นยกลง นำมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ วางไว้บนถาดทาน้ำมันบางๆ ทิ้งไว้ 1 คืนจนแห้ง
หลังจากทิ้งแป้งไว้ให้ขึ้นตัว นำไปอบด้วยเตาอบประมาณ 15 นาที หรืออบจนส่วนล่างของแป้งเหลือง จึงเอาออกมาแซะออก และนำไปอบควันเทียนเพื่อป้องกันแมลง เป็นการถนอมอาหาร
จัดขนมใส่จานเสริฟ หรือใส่โหล, ภาชนะมิดชิดเก็บไว้ทานภายหลัง

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ มาจากไหน

ปัจจุบันนี้ หนังสือของเราจำนวนมากได้รับมาจากทั้งผู้จัดพิมพ์และผู้แต่งผ่านทาง Google Books Partner Program หรือจากพันธมิตรห้องสมุดของเราโดยผ่านทางโครงการห้องสมุด เรายังได้เพิ่มข้อมูลเมตาของหนังสือจำนวนมากลงในดัชนี Google Book Search อีกด้วย




โครงการ Partner Program นี้คือโครงการทำตลาดสำหรับหนังสือออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้จัดพิมพ์และผู้แต่งในการประชาสัมพันธ์หนังสือ ผู้จัดพิมพ์และผู้แต่งจะส่งหนังสือมาให้เรา ทางเราจะสแกนหนังสือดังกล่าวเป็นระบบดิจิทัลทำให้สามารถค้นหาหนังสือดังกล่าวได้จากผลการค้นหาของเรา โดยทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยปกติแล้วคุณสามารถเรียกดูจำนวนหน้าของหนังสือเหล่านี้ได้ประมาณ 20%

โครงการห้องสมุดนี้ครอบคลุมถึงการเป็นพันธมิตรกับห้องสมุดหลายๆ แห่งเพื่อรวบรวมคอลเล็กชันหนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุดดังกล่าวไว้ใน Google Book Search หนังสือที่ได้รับการสแกนผ่านโครงการห้องสมุดจะแสดงไว้ในรูปแบบของบัตรรายการ ซึ่งจะมีข้อมูลเบื้องต้นของหนังสือ และในบางกรณี จะมีข้อมูลเบื้องต้นรวมทั้งเนื้อหาบางส่วน เช่น ประโยคตัวอย่างเพื่อแสดงคำค้นหาภายในบริบทของหนังสือ หากหนังสือดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติ เราจะแสดงเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือ ตั้งแต่ต้นจนจบ

เพื่อให้ Google Book Search เป็นเครื่องมือค้นหนังสือที่แสดงผลได้ครอบคลุมมากขึ้น เราจึงคิดว่าจำเป็นที่จะต้องแสดงผลหนังสือจากพันธมิตรห้องสมุดของเรา หรือ หนังสือที่ได้รับผ่านทางโครงการ Partner Program ซึ่งยังไม่ได้รับการสแกนให้อยู่ในระบบดิจิทัลของเราไว้ด้วย และเนื่องจากเรายังไม่ได้สแกนหนังสือดังกล่าว จึงยังไม่สามารถค้นหาเนื้อหาทั้งหมดจากหนังสือเหล่านั้นได้ ซึ่งหมายความว่าสามารถค้นหาได้แค่ ชื่อหนังสือ ผู้แต่ง หัวเรื่องหรือข้อมูลลิขสิทธิ์ของหนังสือเหล่านั้น และในบางกรณี อาจสามารถค้นหาสารบัญและ/หรือเรื่องย่อของหนังสือได้ ในทางปฏิบัติ คุณจึงจะได้เห็นเพียงบัตรรายการห้องสมุดแบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ ในหน้า "เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้" ของหนังสือแต่ละเล่ม เราจะใส่บทวิจารณ์ บทความที่อ้างอิงถึงหนังสือเล่มนั้น หนังสือที่อ้างอิงถึงหนังสือเล่มนั้น และหนังสือที่เกี่ยวข้อง