วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มะนาว มาจากไหน

มะนาว (อังกฤษ: lime) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย



ลักษณะทั่วไป

ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 ซม. ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีขนดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าหนาว จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย

มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส

ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก

มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง

ชื่อของมะนาว

มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่ค้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้

C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm

สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica lime, West Indian lime, และ Key lime หรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า

อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน

ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้น

พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย

1. มะนาวไข่ ผลกลม หัวท้ายยาว มีสีอ่อนคล้ายไข่เป็ด ขนาด 2-3 เมตร เปลือกบาง
2. มะนาวแป้น ผลใหญ่ ค่อนข้างกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ในเชิงพาณิชย์จะปลูก มะนาวพันธุ์แป้นรำไพและพันธุ์แป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย
3. มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกหนา ทำให้เก็บรักษาผลได้นาน
4. มะนาวทราย ทรงพุ่มสวยใช้เป็นไม้ประดับ ให้ผลตลอดปีแต่ไม่ค่อยนิยมบริโภค เพราะน้ำมีรสขมเจือปน

มะนาวพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ มะนาวฮิตาชิ, มะนาวหวาน, มะนาวปีนัง, มะนาวโมฬี, มะนาวพม่า, มะนาวเตี้ย และมะนาวหนัง เป็นต้น (มะนาวบางพันธุ์อาจเรียกได้หลายชื่อ แต่ในที่นี้ไม่ได้สืบค้นเพื่อจำแนกเอาไว้)

สรรพคุณทางยา

มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย

มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิว และยังสามารถมีฤทธิ์ในการกัดด้วยเป็นต้น

สำนวนเกี่ยวกับมะนาว

* มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง พูดไม่น่าฟัง ไม่ไพเราะ ไม่รื่นหู ห้วนๆ ขาดความนุ่มนวล
* องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน (จากนิทานอีสป แต่ใช้กันมานาน จนรู้สึกราวกับเป็นสำนวนไทยแท้) หมายถึง เลี่ยงที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนต้องการ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นไปไม่ได้ และยอมรับสิ่งที่ไม่ต้องการแทน

นอกจากนี้ยังมีการเล่นของเด็ก เรียกว่า "ซักส้าว" ที่มีเนื้อร้องกล่าวถึง "มะนาว" ดังนี้

ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง
ขุนนางมาเอง จะเล่นซักส้าว
มือใครยาวสาวได้สาวเอา มือใครสั้นเอาเถาวัลย์ต่อเข้า

บ้างก็ว่า

ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง ขุนนางมาเอง ว่าจะเล่นซักส้าว .

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แตงโม มาจากไหน

แตงโม Citrullus lanatus (Thunb.) Matsum & Nakai เป็นพืชวงศ์แตง Cucurbitaceae ภาคอีสานเรียกบักโม ภาคเหนือเรียกบะเต้า คนตรังเรียกแตงจีน มีชื่อสามัญว่า Watermelon แปลว่า “แตงน้ำ” เพราะในผลแตงโมมีน้ำเป็นส่วนใหญ่



แตงโมมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาแถบทะเลทรายคาลาฮารี ในทวีปดังกล่าวมีแตงโมขึ้นเองตามธรรมชาติ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุด มีทั้งพันธุ์ที่เนื้อผลมีรสหวาน จืด และรสขม

ชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่ปลูกแตงโมไว้กินเมื่อ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว

ประเทศจีนปลูกแตงโมคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ และปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่ปลูกแตงโมมากที่สุดในโลก

คริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ พบบันทึกการนำแตงโมเข้าสู่ทวีปยุโรปโดยผู้รุกรานชาวมัวร์ และถูกนำเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือโดยทาสผิวดำที่ถูกนำไปใช้แรงงานในไร่ในราว คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕

แตงโมเป็นไม้เถาอยู่ในวงศ์เดียวกับแตงกวา ลำต้นเป็นเถาเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ใบมีลักษณะเว้าลึก ๓-๔ หยัก ก้านใบยาว ทั้งเถาและใบมีขนอ่อนปกคลุม ผลพัฒนาจากรังไข่

ผลแตงโมมีทั้งแบบกลม กลมรี และทรงกระบอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล ๑๕-๒๐ เซนติเมตร เปลือกแข็ง สีเขียว สีเขียวเข้ม และสีเหลือง บ้างก็มีลวดลายสีขาวเป็นแถบยาวจากขั้วถึงปลายผล รสชาติของเนื้อผลคือฉ่ำน้ำและหวานกรอบ ในเนื้อมีเมล็ดสีดำขนาดเล็กแทรกอยู่บริเวณใจกลางผล

แตงโมที่มีการปลูกในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะของผลและเมล็ด ได้แก่ พันธุ์ธรรมดา พันธุ์ไม่มีเมล็ด และพันธุ์กินเมล็ดที่นำไปผลิตเป็นเม็ดก๊วยจี๊นั่นเอง

คุณค่าทางโภชนาการ
แตงโม เนื้อผล (กินได้) คุณค่าทางโภชนาการต่อ ๑๐๐ กรัม

พลังงาน ๓๐ กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต ๗.๕๕ กรัม
น้ำตาล ๖.๒๐ กรัม
เส้นใยอาหาร ๐.๔๐ กรัม
ไขมัน ๐.๑๕ กรัม
โปรตีน ๐.๖๑ กรัม
น้ำ ๙๑.๔๕ กรัม
วิตามินเอ (เทียบเท่า) ๒๘ μg (๓%)
วิตามินบี ๑ (ไทอะมีน) ๐.๐๓๓ มิลลิกรัม (๓%)
วิตามินบี ๒ (ไรโบฟลาวิน) ๐.๐๒๑ มิลลิกรัม (๑%)
วิตามินบี ๓ (ไนอะซิน) ๐.๑๗๘ มิลลิกรัม (๑%)
วิตามินบี ๕ (กรดแพนโทเทนิก) ๐.๒๒๑ มิลลิกรัม (๔%)
วิตามินบี ๖ ๐.๐๔๕ มิลลิกรัม (๓%)
วิตามินบี ๙ (โฟเลต) ๓ μg (๑%)
วิตามินซี ๘.๑๐ มิลลิกรัม (๑๔%)
แคลเซียม ๗ มิลลิกรัม (๑%)
เหล็ก ๐.๒๔ มิลลิกรัม (๒%)
แมกนีเซียม ๑๐ มิลลิกรัม (๓%)
ฟอสฟอรัส ๑๑ มิลลิกรัม (๒%)
โพแทสเซียม ๑๑๒ มิลลิกรัม (๒%)
สังกะสี ๐.๑๐ มิลลิกรัม (๑%)
ร้อยละเมื่อเทียบกับปริมาณแนะนำของสหรัฐอเมริกาที่ผู้ใหญ่ควรกินใน ๑ วัน
แหล่งข้อมูล : USDA Nutrient database

แตงโมเป็นผลไม้ที่มีพลังงานต่ำ แตงโมมีน้ำตาลทั้งหมดร้อยละ ๖.๘๑-๙.๓๖ โดยมีน้ำตาลฟรักโทสร้อยละ ๓-๔ น้ำตาลกลูโคสร้อยละ ๑-๓ และน้ำตาลซูโคสร้อยละ ๒-๕ เมื่อกินแตงโมจะได้น้ำถึงร้อยละ ๙๒ มีวิตามินซี บีตาแคโรทีน ไลโคพีน และแร่ธาตุอื่น

ทั่วโลกกินเนื้อแตงโมเป็นผลไม้ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะอย่างอ่อน แต่ในประเทศไทยพบการกินแตงโมเป็นผักในอาหารมื้อหลักด้วย

ในอดีตคุณยายของผู้เขียนจะกินปลาแห้งแตงโมกับข้าวสวย เป็นปลาช่อนแห้งผัดหอมเจียวเคล้าน้ำตาลขลุกขลิก ตักข้าว ๑ ช้อนโรยผัดปลาแห้ง แกล้มแตงโมแดงเข้มเต็มคำ เมื่อเคี้ยวมีน้ำแตงโมเคล้าข้าวปลาแห้งหวานหอม…

ไม่ลองไม่รู้ค่ะสุดยอดคนโบราณสรรหามากินจริงๆ ไม่ทราบคิดได้อย่างไร เสียดายปัจจุบันแทบไม่เห็นอาหารนี้แล้ว อยากกินแต่ทำไม่เป็น…

นับเป็นอาหารผู้สูงอายุที่ชาญฉลาดเพราะน้ำแตงโมมีคุณสมบัติเพิ่มความ อยากอาหาร เมนูนี้เคี้ยวง่าย ย่อยง่าย ปลาแห้งผัดเก็บได้นานไม่ต้องอาศัยตู้เย็น และได้โปรตีนจากเนื้อปลาแห้งอีกด้วย

เปลือกผลกินได้ มีธาตุอาหารซ่อนไว้มากแต่ในทวีปอเมริกาเหนือไม่มีวัฒนธรรมการกินเปลือกแตงโม ที่ไม่กินเพราะเปลือกแตงโมปราศจากรสชาติ

ในประเทศไทยมีการปอกผิวเปลือกแตงโมสีเขียวเข้มออก เอาเปลือกด้านในมาประกอบอาหารกับเครืองปรุงมีรส เช่น แกงส้ม

บางประเทศกินเป็นผัก แต่ที่จีนนำเปลือกแตงโมที่ฝานผิวนอกออกแล้วมาปรุงเป็นผัดผักกับกระเทียม พริก ต้นหอม น้ำตาลและเหล้าขาว ต้มพะโล้ หรือดองเก็บไว้กิน เปลือกแตงโมดองนี้มีกินกันในหมู่ชนหลายวัฒนธรรม เช่น รัสเซีย โรมาเนีย บัลแกเรีย ยูเครน และตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาบางแห่ง

น้ำแตงโมมีการดื่มกันมากในประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน บ้างนำน้ำแตงโมมาหมักเป็นไวน์

ทางเหนือของประเทศไทยนำน้ำแตงโมมาผลิตเป็นขนมขบเคี้ยวเรียกข้าวแต๋นน้ำแตงโม

เมล็ดแตงโมตากแห้งคั่วกินได้ เท่าที่ทราบมีกินในจีน เวียดนาม และไทย

ความรู้อายุรเวทจากอินเดียกล่าวว่า เนื้อแตงโมเสริมธาตุไฟและธาตุน้ำ มีคุณสมบัติช่วยเจริญอาหาร เพิ่มกากอาหารเพื่อการขับถ่ายที่ดี แก้อาการกระหายน้ำ ลดไข้และระบายความร้อนในร่างกาย บำรุงไตและม้าม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะอย่างอ่อนลดการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ

ส่วนการแพทย์แผนจีนใช้เปลือกแตงโมและเปลือกฟักเขียว อย่างละ ๓๐ กรัม ต้มน้ำดื่มวันละ ๓ ครั้งในการควบคุมอาการผู้ป่วยเบาหวานแตงโมมีกรดอะมิโนซิทรูลีน พบมากในส่วนที่เป็นเปลือก กรดอะมิโนนี้กระตุ้นการสร้างไนตริกออกไซด์ผ่านการแปรสภาพเป็นกรดอะมิโนอาร์ จีนีน สารไนตริกออกไซด์ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์เอนโดทีเลี่ยมที่บุหลอดเลือด มีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดอ่อนนิ่ม คล้ายกับฤทธิ์ของยาไวอากร้า

งานวิจัยจากเยอรมนีพบว่า การกินกรดอะมิโนซิทรูลีนดีกว่าการกินกรดอะมิโนอาร์จีนีนเพราะไปแปรสภาพเป็น กรดอะมิโนอาร์จีนีนหลังการดูดซึม จึงไปเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ได้โดยตรงโดยไม่มีการสูญเสียไปโดยการขับออก ของเอนไซม์อาร์จีเนสในลำไส้เล็ก

ดังนั้น การกินแตงโมและเปลือกแตงโมมีส่วนช่วยสุขภาพทางเพศในเพศชาย บ้างเชื่อว่าเปลือกแตงโมกระตุ้นกำหนัดได้ด้วย
เมล็ดแตงโมมีโปรตีนสูง ช่วยบำรุงร่างกาย ปอด สมอง แต่ควรจำกัดปริมาณการกินถ้าเมล็ดแตงโมมีความเค็มสูง

แตงโมเป็นผลไม้พลังงานต่ำ คุณค่าสูง ราคาประหยัดที่หากินได้ทั้งปี ลองกินเนื้อแตงโมและนำเปลือกมาประกอบอาหารดูบ้างนะคะเพื่อสุขภาพของหลอด เลือด

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมาส์ มาจากไหน

เมาส์ คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์ (pointing device) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้งานคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่าง ลักษณะ สีสัน ต่างๆกัน บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพื่อให้เมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทและความชื่นชอบของผู้ใช้ เช่นมีขนาดเล็ก มีส่วนโค้งและส่วนเว้าเข้ากับอุ้งมือของผู้ใช้ มีรูปร่างสีสันแปลกตาไปจากรุ่นทั่วๆไป หรือเป็นรูปตัวการ์ตูน และล่าสุดได้มีการพัฒนา เมาส์อากาศ (Air Mouse) ซึ่งสามารถใช้งานเมาส์โดยถือขึ้นมาเอียงไปมาในอากาศโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นรอง ก็สามารถควบคุมตัวชี้ได้เช่นกัน



การทำงานของเมาส์ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณ์สำหรับตรวจจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้งยาง(สำหรับรุ่นเก่า)หรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสง (ในเมาส์ที่ใช้แอลอีดีหรือเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง) โดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

การเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานเมาส์ร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมีการต่อมันเข้ากับช่องต่อของคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคแรกๆนั้นช่องสำหรับต่อเมาส์จะมีลักษณะเป็นหัวกลมใหญ่ภายในมีขาเป็นเข็มเรียกว่าแบบ DIN ต่อมามีการพัฒนาช่องต่อเป็นแบบหัวเข็มที่เล็กลงเรียกว่า PS/2 แต่การเชื่อมต่อทั้งสองแบบนั้นไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลาย จึงมีการพัฒนาช่องต่อแบบ USB ขึ้นมา และในเวลาใกล้ๆกันก็ได้มีการพัฒนาการเชื่อมต่อเมาส์แบบไร้สายขึ้นมาโดยใช้สัญญาณวิทยุเป็นตัวเชื่อมต่อแทนสายเรียกว่า เมาส์ไร้สาย (Wireless mouse)

เมาส์ได้ชื่อมาจากรูปร่างของตัวมันเอง และสายไฟ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหนู (Mouse) และหางหนู และขณะเดียวการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนหน้าจอมีลักษณะการเคลื่อนที่ไม่มีทิศทางเหมือนการเคลื่อนที่ของหนู

กำเนิดของเมาส์

เมาส์ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1963 โดยดักลัส เองเกลบาท (Douglas Engelbart) ที่สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (Stanford Research Institute) หลังจากการทดสอบการใช้งานอย่างละเอียด (เมาส์เคยมีอีกชื่อนึงว่า “บัก” (bug) แต่ภายหลังได้รับความนิยมน้อยกว่าคำว่า “เมาส์”) มันเป็นหนึ่งในการทดลองอุปกรณ์ชี้ (Pointing Device) สำหรับ Engelbart's oN-Line System (NLS) ส่วนอุปกรณ์ชี้อื่นออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนไหวในร่างกายส่วนอื่น ๆ เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ติดกับคางหรือจมูก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมาส์ก็ได้รับการคัดเลือกเพราะง่ายต่อการใช้งาน

เมาส์ตัวแรกนั้นมีขนาดใหญ่ และใช้เฟือง 2 ตัววางในลักษณะตั้งฉากกัน การหมุนของแต่ละเฟืองจะถูกแปลไปเป็นการเคลื่อนที่บนแกนในปริภูมิ 2 มิติ เองเกลบาทได้รับสิทธิบัตรเลขที่ US3541541 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1970 ชื่อ "X-Y Position Indicator For A Display System" (ตัวระบุตำแหน่ง X-Y สำหรับระบบแสดงผล) ในตอนนั้น เองเกลบาทตั้งใจจะพัฒนาจนสามารถใช้เมาส์ได้ด้วยมือเดียว

เมาส์แบบต่อมาถูกประดิษฐ์ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 โดย บิล อิงลิช (Bill English) ที่ศูนย์วิจัยของบริษัท ซีรอกส์ (Xerox PARC) โดยแทนที่ล้อหมุนด้วยลูกบอลซึ่งสามารถหมุนไปได้ทุกทิศทาง การเคลื่อนไหวของลูกบอลจะถูกตรวจจับโดยล้อเล็ก ๆ ภายในอีกทีหนึ่ง เมาส์ชนิดนี้คล้าย ๆ กับแทร็กบอล และนิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตลอดทศวรรษที่ 1980 และ 1990 ทำให้การใช้เมาส์และคีย์บอร์ดในเวลาเดียวกันสามารถเป็นจริงได้

เมาส์ในปัจจุบันได้รับรูปแบบมาจาก École polytechnique fédérale de Lausanne (EPFL) ภายใต้แรงบันดาลใจของ ศาสตราจารย์ Jean-Daniel Nicoud ร่วมกับวิศวกรและช่างนาฬิกาชื่อ André Guignard ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ทำให้เกิดบริษัท โลจิเทค (Logitech) ผลิตเมาส์ที่ได้รับความนิยมสูงเป็นยี่ห้อแรก
ออปติคอลเมาส์

ในขณะเดียวกันก็ได้มีการพัฒนาเมาส์อีกรูปแบบนึงนั่นก็คือ ออปติคอลเมาส์ (optical mouse) ซึ่งใช้หลักการในการตรวจจับการเคลื่อนไหวโดยใช้เซนเซอร์แสงที่อยู่ใต้เมาส์ ร่วมกับแอลอีดี ออปติคอลเมาส์ในยุคแรก ๆ ประดิษฐ์โดย สตีฟ เคิร์ช (Steve Kirsch) ที่บริษัท Mouse Systems Corporation ซึ่งสามารถใช้ได้บนเมาส์แพด (mouse pad) ที่มีพิ้นผิวเป็นโลหะเฉพาะเท่านั้น และต้องใช้ CPU ของเครืองคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลตำแหน่งของตัวชี้ แต่เมื่อคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง ออปติคอลเมาส์จึงได้ถูกใส่ชิปสำหรับประมวลผลภาพ (ICP: Image processing chips) เข้าไป ซึ่งทำให้สามารถใช้ได้บนพื้นผิวหลายชนิดมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้เมาส์แพดอีกต่อไป

หลักการของเมาส์แบบที่ไม่ต้องใช้เมาส์แพด คือการใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจจับการเคลื่อนที่ของพื้นผิวที่เกิดจากการใช้แอลอีดีส่องไปที่พื้นผิว และจะถูกส่งต่อไปที่ส่วนประมวลผลภาพเพื่อที่จะแปลงไปเป็นการเคลื่อนไหวบนแกน X และ Y โดยจะประมวลผลถึง 1512 เฟรมต่อวินาที ซึ่งในแต่ละเฟรมเป็นมีขนาด 18x18 พิกเซล และแต่ละพิกเซลมีระดับความเข้มที่แตกต่างกันได้ถึง 64 เฉด เมาส์แบบนี้มักจะสับสนกับเลเซอร์เมาส์ (laser mouse) และกลายเป็นมาตรฐานในปัจจุบันเนื่องจากความแม่นยำที่มีมากกว่าเมาส์แบบลูกกลิ้ง

ปริมาณความต้องการออปติคอลเมาส์ ส่วนหนึ่งมาจากนักเล่นเกมแนว FPS ซึ่งต้องการความแม่นยำสูงในการเล็งโดยใช้เมาส์
เปรียบเทียบออปติคอลเมาส์กับเมาส์ลูกกลิ้ง

ผู้ที่สนับสนุนออปติคอลเมาส์อ้างว่าเมาส์ชนิดนี้ทำงานได้ดีกว่าเมาส์ลูกกลิ้ง ไม่ต้องบำรุงรักษาและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า เนื่องจากไม่มีชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว ส่วนทางด้านผู้สนับสนุนเมาส์ลูกกลิ้ง กล่าวว่าออปติคอลเมาส์นั้นไม่สามารถใช้บนวัสดุโปร่งแสงหรือเป็นมันได้ รวมถึงออปติคอลเมาส์ที่มีประสิทธิภาพต่ำจะมีปัญหาในการเคลื่อนเมาส์เร็ว ๆ และการซ่อมบำรุงเมาส์ลูกกลิ้งนั้นง่ายกว่า แค่ทำความสะอาดก็ใช้ได้แล้ว (แต่อย่างไรก็ดีออปติคอลเมาส์นั้นไม่ต้องการการบำรุงรักษาเลย) จุดที่แข็งที่สุดของเมาส์ลูกกลิ้งน่าจะเป็นการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเป็นเมาส์ไร้สาย โดยที่มันจะใช้กระแสไฟฟ้าประมาณ 5 mA หรือน้อยกว่า ในขณะที่ออปติคอลเมาส์จะกินไฟถึง 25 mA โดยที่เมาส์ไร้สายรุ่นเก่าๆ จะกินไฟมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นผลให้ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ ไม่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องนานๆ เมาส์ลูกกลิ้งใช้แสงในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้ง ในขณะที่ออปติคอลเมาส์ตรวจจับการเคลื่อนที่ของพื้นผิวเรียบ

เลเซอร์เมาส์

ในปี 2004 Logitech ร่วมกับ Agilent Technologies ได้นำเลเซอร์เมาส์เข้าสู่ตลาด เมาส์ชนิดนี้ใช้แสงเลเซอร์แทนแอลอีดีแบบเก่า เทคโนโลยีแบบใหม่ซึ่งสามารถเพิ่มรายละเอียดของภาพที่ถูกประมวลผลในเมาส์ได้อีก ถึง 20 เท่าเลยทีเดียว

ปุ่ม

ปุ่มบนเมาส์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากในสมัยแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยอาจจะเปลี่ยนในเรื่องรูปร่าง จำนวน และการวางตำแหน่ง เมาส์ตัวแรกที่ประดิษฐ์โดยเองเกลบาทนั้นมีเพียงปุ่มเดียว แต่ในปัจจุบันเมาส์ที่นิยมใช้กันมี 2 ถึง 3 ปุ่ม แต่ก็มีคนผลิตเมาส์ที่มีถึง 5 ปุ่ม

เมาส์ที่นิยมใช้กันจะมีปุ่มที่ 2 สำหรับเรียกเมนูลัดในซอฟต์แวร์ที่มีการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้มารองรับ ไมโครซอฟท์วินโดวส์ระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ออกแบบมาสนับสนุนการใช้ปุ่มที่ 2 นี้ด้วย
ส่วนระบบที่ใช้กับเมาส์ 3 ปุ่มนั้น ปุ่มกลางมักจะใช้เพื่อเรียก แมโคร (แมโคร หรือ Macro คือเครื่องมือที่ใช้เพิ่มการปฏิบัติงานของ Application บางอย่าง ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ซ่อนอยู่ภายใต้โปรแกรมนั้น เช่น โปรแกรม Excel ผู้ใช้อาจจะเขียนคำสั่งขึ้นเองเพื่อใช้ทำงานเฉพาะอย่าง นอกเหนือไปจากการทำงานตามปกติของโปรแกรมนั้น) ในปัจจุบันเมาส์แบบ 2 ปุ่มสามารถใช้งานฟังก์ชันปุ่มกลางของแบบ 3 ปุ่มได้โดย คลิกทั้ง 2 ปุ่มพร้อมกัน

ปุ่มเสริม

บางครั้งเมาส์ก็มีปุ่ม 5 ปุ่มหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ใช้ ปุ่มพิเศษนี้อาจจะใช้ในการเลื่อนไปข้างหน้าหรือถอยหลังสำหรับการท่องเว็บ หรือเป็นปุ่ม scrolling แต่อย่างไรก็ตามฟังก์ชันเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับทุกซอฟต์แวร์ และมักจะมีประโยชน์กับเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า (เช่นการเปลี่ยนอาวุธในเกมประเภท FPS) เพราะว่าปุ่มพิเศษพวกนี้ เราสามารถที่จะกำหนดฟังก์ชันอะไรลงไปก็ได้ ทำให้การใช้งานเมาส์เหล่านี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ดักลัส เองเกลบาท นั้นอยากให้มีจำนวนปุ่มมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เค้าบอกว่าเมาส์มาตรฐานนั้นควรจะมี 3 ปุ่ม เพราะว่าเขาไม่รู้จะเพิ่มปุ่มเข้าไปตรงไหนนั่นเอง

ล้อเมาส์

นวัตกรรมอย่างหนึ่งของปุ่มเมาส์คือปุ่มแบบเลื่อน (Scroll wheel ล้อเล็ก ๆ วางในแนวขนานกับผิวของเมาส์ สามารถหมุนขึ้นและลงเพื่อจะป้อนคำสั่งใน 1 มิติได้) โดยปกติแล้วจะใช้ในการเลื่อนหน้าต่างขึ้น-ลง เป็นฟังก์ชันที่มีระโยชน์มากสำหรับการดูเอกสารที่ยาว ๆ หรือในบางโปรแกรมปุ่มพวกนี้อาจจะใช้เป็นฟังก์ชันในการซูมเข้า-ออกได้ด้วย ปุ่มนี้ยังสามารถกดลงไปตรง ๆ เพื่อจะใช้เป็นฟังก์ชันปุ่มที่ 3 ได้อีก เมาส์ใหม่ ๆ บางตัวยังมี Scroll wheel แนวนอนอีก หรืออาจจะมีปุ่มที่สามารถโยกได้ถึง 4 ทิศทาง เรียกว่า tilt-wheel หรืออาจจะมีลักษณะเป็นบอลเล็กๆ คล้ายๆ Trackball บังคับได้ทั้ง 2 มิติเรียกว่า scroll ball

การเชื่อมต่อ

เช่นเดียวกับอุปกรณ์รับข้อมูล (input device) อื่น ๆ เมาส์ก็ต้องการการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อที่จะส่งข้อมูลไปให้คอมพิวเตอร์ เมาส์ทั่ว ๆ ไปจะใช้สายไฟ เช่น RS-232C, PS/2, ADB หรือ USB โดยปัจจุบันที่นิยมใช้ที่สุด จะเป็น PS/2 และ USB ซึ่งไม่ค่อยสะดวกต่อการใช้งาน จึงมีผู้ประดิษฐ์เมาส์ไร้สายโดยส่งข้อมูลผ่าน อินฟราเรด, คลื่นวิทยุ, หรือ บลูทูธแทน
อินฟราเรด เป็นลักษณะของการถ่ายโอนข้อมูลคล้าย ๆ กับรีโมท (ทีวีหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในบ้าน) โดยที่อุปกรณ์ส่งสัญญาณและรับสัญญาณต้องอยู่ในระนาบการส่งสัญญาณที่ตรงกันเท่านั้น (เช่นหัวของเมาส์ต้องหันหน้าไปที่ตัวรับสัญญาณตลอดเวลา) ซึ่งการใช้การส่งข้อมูลไร้สายในรูปแบบนี้ไม่เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลาอย่างเมาส์ จึงมีผู้ประดิษฐ์เมาส์ที่ส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุแทน

เมาส์วิทยุ (Radio mouse) เป็นเมาส์ที่ส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุไร้สาย ตัวเมาส์ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในระนายเดียวกันกับตัวรับสัญญาณตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้สะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งเรื่องความได้เปรียบเกี่ยวกับระยะทางของสัญญาณ เมาส์สามารถใช้ได้ห่างจากตัวรับสัญญาณได้มากกว่าแบบ Infrared แต่เนื่องจากการใช้เมาส์ผ่านคลื่นวิทยุไร้สายนั้นเป็นการทำให้เกิดการกีดกันและรบกวนกันระหว่างสัญญาณของตัวเมาส์เอง กับระบบโทรศัพท์ไร้สายหรืออินเทอร์เน็ตไร้สายที่อยู่ในช่วงสัญญาณเดียวกัน และอีกทั้งปัญหาเกี่ยวกับการใช้เมาส์รุ่นเดียวกันมากกว่า 2 ชิ้น ทำให้เครื่องในรัศมีการรับสัญญาณของเมาส์ที่อยู่ในคลื่น A เหมือนกันนั้นตอบรับกับเมาส์ตัวอื่น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเมาส์ไร้สายจะสามารถปรับช่องสัญญาณได้เพียงแค่สองช่องเท่านั้น (A และ B)
เพราะฉะนั้นผู้ประดิษฐ์จึงหันไปพึ่งเทคโนโลยีไร้สายมาตรฐานระบบใหม่ ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุเช่นกันคือ บลูทูธ แต่เนื่องจากผู้คิดค้นและริเร่มระบบบลูทูธได้คาดคำจึงถึงปัญหาเนื่องจากมีผู้ใช้บลูทูธมากไว้แล้ว ทำให้ได้มีการวางแผนระบบการจับคู่อุปกรณ์ขึ้น ทำให้อุปกรณ์หนึ่งไม่ไปรบกวนหรือไปทำหน้าที่บนอีกอุปกรณ์หนึ่งอย่างที่ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการ โดยก่อนที่จะใช้อุปกรณ์ด้วยกันจะต้องมีการจับคู่อุปกรณ์กันก่อน จึงจะสามารถใช้อุปกรณ์นั้น ๆ ด้วยกันได้ และความได้เปรียบในเรื่องของความเร็วที่สูงกว่า
40KB/วินาที ของระบบบลูทูธนั้น ทำให้มันสามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายตลาดการสื่อสาร เช่น หูฟังไร้สาย การส่งข้อมูลไร้สาย และรวมไปถึง ตีย์บอร์ดกับเมาส์นั่นเอง

เมาส์บลูทูธ (Bluetooth mouse) นั้นได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา โดยบางเครื่องนั้นได้มีการติดตั้งตัวระบบส่งสัญญาณบลูทูธในเครื่องแล้วด้วย ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อุปกรณ์รับสัญญาณแยกออกมาจากเครื่อง ซึ่งทำให้กินพื้นที่ Bluetooth mouse กำลังจะเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในเร็วๆ นี้ และเช่นกันสำหรับ บลูทูธคีย์

บอร์ด (Bluetooth keyboard)

การใช้งานปุ่มโดยทั่วไป

การใช้งานเมาส์นั้นมีหลายรูปแบบนอกเหนือไปจากการเลื่อนเมาส์เพื่อเลื่อนเคอร์เซอร์ เช่น การคลิก (การกดปุ่ม) คำว่าคลิกนั้นมีที่มาจากเสียงคลิกเวลาเรากดปุ่มเมาส์นั่นเอง เสียงนี้เกิดขึ้นจาก micro switch (cherry switch) และใช้แถบโลหะที่แข็งแต่ยืดหยุ่นเป็นตัวกระตุ้นสวิทช์ เมื่อเรากดปุ่ม แถบโลหะนี้ก็จะงอ และกระตุ้นให้สวิทช์ทำงานพร้อมทั้งเกิดเสียงคลิก และช่วยให้ภายในไม่มีภาวะสุญญากาศเกิดขึ้น นอกจากนี้นักวิจัยพบว่าผู้ใช้จะตอบสนองกับเสียงคลิกหลังจากกด มากกว่าความรู้สึกที่นิ้วกด

ลงไปบนปุ่ม

การคลิกครั้งเดียว (Single clicking)

เป็นการใช้งานที่ง่ายที่สุด โดยหมายรวมทั้งการกดปุ่มบนเมาส์ชนิดปุ่มเดียวและชนิดหลายปุ่ม โดยหากเป็นเมาส์ชนิดหลายปุ่ม จะเรียกการคลิกนี้ตามตำแหน่งของปุ่ม เช่น คลิกซ้าย, คลิกขวา

ดับเบิ้ลคลิก (Double-click)

เป็นการคลิกปุ่ม 2 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ใช้ในการเปิดไฟล์ต่างๆ
ทริเปิลคลิก (Triple-click)


เป็นการคลิกปุ่ม 3 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ใช้มากที่สุดใน word processors และใน web browsers เพื่อที่จะเลือกข้อความทั้งย่อหน้า

การตลิกแล้วลาก (Click-and-drag)
คือการกดปุ่มบน object ค้างไว้แล้วลากไปที่ที่ต้องการที่เรากำหนดไว้

Mouse gestures

Mouse gesture เป็นวิธีการผสมผสานการเลื่อนและการคลิกเมาส์ ซึ่งซอฟต์แวร์ที่จะใช้ได้จะต้องจดจำคำสั่งพิเศษต่างๆ เหล่านี้ได้ เช่นในโปรแกรมวาดภาพ การเลื่อนเมาส์ในแนวแกน X อย่างรวดเร็วบนรูปร่างใดๆ จะเป็นการลบรูปร่างนั้น

Tactile mouse
ในปี 2000 Logitech ได้เปิดตัว tactile mouse ซึ่งมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ทำให้เมาส์สั่นได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัส เช่นการสั่นเมื่อเคอร์เซอร์อยู่ที่ขอบของ window มีเมาส์ อีกชนิดหนึ่งสามารถถือไว้ในมือโดยไม่ต้องวางบนพื้นผิว โดยสามารถจับการเคลื่อนไหวได้ถึง 6 มิติ (3 มิติ + การหมุนของ 3 แกน = 6 มิติ) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายสำหรับการนำเสนอทางธุรกิจ เมื่อผู้พูดจะต้องยืนหรือเดินไปมา อย่างไรก็ตาม เมาส์ชนิดนี้ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้าง

ความเร็วของเมาส์
ความเร็วของเมาส์มีหน่วยเป็น DPI (Dots Per Inch) ซึ่งคือจำนวนพิกเซลที่เคอร์เซอร์จะเลื่อนได้เมื่อเลื่อนเมาส์ไป 1 นิ้ว Mouse acceleration/deceleration เป็นทริกของซอฟต์แวร์ที่สามารถทำให้เมาส์เลื่อนช้ากว่าหรือเร็วกว่าความเร็วปกติของมันได้ แต่มีอีกหน่วยนึงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมคือหน่วย Mickey เพราะว่าค่า Mickey เกิดจากการนับ dot ที่เคอร์เซอร์เคลื่อนไปได้โดยคิดรวมถึง Mouse acceleration/deceleration ด้วย ทำให้ค่า Mickey สำหรับการใช้งานแต่ละครั้งอาจจะไม่เท่ากัน จึงไม่ได้

รับความนิยม

อุปกรณ์เสริม

แผ่นรองเมาส์

เป็นอุปกรณ์เสริมที่ได้รับความนิยม ซึ่งช่วยให้เลื่อนเมาส์ได้อย่างราบรื่น เนื่องจากโต๊ะหลายชนิดไม่เหมาะที่จะใช้เลื่อนเมาส์โดยตรง เช่นไม้เนื้อหยาบหรือพลาสติกเพราะจะทำให้ด้านล่างของเมาส์เสียหายเร็วเกินไป optical mouse บางตัวไม่ต้องใช้กับเมาส์แพดเพราะได้รับการออกแบบให้ใช้กับผิวไม้ได้โดยตรง ส่วนเมาส์แบบลูกกลิ้งนั้นจะต้องใช้เมาส์แพดเนื่องจากลูกกลิ้งต้องการแรงเสียดทานที่น้อยกว่าปกติซึ่งจะช่วยให้ลูกกลิ้งหมุนได้อย่างราบรื่น
แผ่นหุ้มท้องเมาส์ (Mouse feet covers)

ทำด้วยเทฟลอน ใช้แปะที่ด้านล่างของเมาส์ ซึ่งช่วยให้สามารถขยับเมาส์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
อุปกรณ์จัดการสายเมาส์ (Cord managers)

เป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยจัดการกับสายเมาส์ที่เกะกะ ดังนั้นอุปกรณ์ชิ้นนี้จึงไม่จำเป็นสำหรับเมาส์ไร้สาย
แพ่นเจลวางข้อมือ (Gel wrist pad)

เป็นแผ่นนิ่มๆ ใช้รองใต้ข้อมือเพื่อเพิ่มความสบายขณะใช้เมาส์ โดยได้รับการออกแบบให้เข้ากับสรีระของมนุษย์ทำให้ลดความเมื่อยจากการใช้เมาส์เป็นเวลานานๆ ได้

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้าว มาจากไหน

ข้าว เป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่สามารถกินเมล็ดได้ ถือเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเช่นเดียวกับหญ้า ต้นข้าวมีลักษณะภายนอกบางอย่าง เช่น ใบ กาบใบ ลำต้น และรากคล้ายต้นหญ้า ในประเทศไทย ข้าวหอมมะลิมีสายพันธุ์ในประเทศและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก



ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยเป็นพวก Indica ซึ่งแบ่งออกเป็นข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ ข้าวยังได้ถูกมนุษย์คัดสรรและปรับปรุงพันธุ์มาโดยตลอดตั้งแต่มีประวัติศาสตร์การเพาะปลูก ข้าวในปัจจุบัน จึงมีหลายหลายพันธุ์ทั่วโลกที่ให้รสชาติและประโยชน์ใช้สอยต่างกันไป พันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงระดับโลกของไทย คือ ข้าวหอมมะลิ

ลักษณะทั่วไป

ลักษณะที่สำคัญของข้าวแบ่งออกได้เป็นลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต และลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ ดังนี้
ประเภทของข้าว

แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้าวเจ้า และ ข้าวเหนียว ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันเกือบทุกอย่างแต่ต่างกันตรงที่เนื้อแข็งในเมล็ด

• เมล็ดข้าวเจ้าประกอบด้วยแป้งอมิโลส (Amylose) ประมาณร้อยละ 15-30

• เมล็ดข้าวเหนียวประกอบด้วยแป้งอมิโลเพคติน (Amylopectin) เป็นส่วนใหญ่และมีแป้งอมิโลส (Amylose) ประมาณร้อยละ 5-7
หากแบ่งตามนิเวศน์การปลูก จะแบ่งได้ 7 ประเภท คือ

1. ข้าวนาสวน ข้าวที่ปลูกในนาที่มีน้ำขังหรือกักเก็บน้ำได้ระดับน้ำลึกไม่เกิน 50 เซนติเมตร ข้าวนาสวนมีปลูกทุกภาคของประเทศไทย แบ่งออกเป็น ข้าวนาสวนนาน้ำฝน และข้าวนาสวนนาชลประทาน

2. ข้าวนาสวนนาน้ำฝน ข้าวที่ปลูกในฤดูนาปี และอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ การกระจายตัวของฝน ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวนาน้ำฝนประมาณ 70% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด

3. ข้าวนาสวนนาชลประทาน ข้าวที่ปลูกได้ตลอดทั้งปีในนาที่สามารถควบคุมระดับน้ำได้ โดยอาศัยน้ำจากการชลประทาน ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวนาชลประทาน 24% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด และพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคกลาง

4. ข้าวขึ้นน้ำ ข้าวที่ปลูกในนาที่มีน้ำท่วมขังในระหว่างการเจริญเติบโตของข้าว มีระดับน้ำลึกตั้งแต่ 1-5 เมตร เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน ลักษณะพิเศษของข้าวขึ้นน้ำคือ มีความสามารถในการยืดปล้อง (internode elongation ability) การแตกแขนงและรากที่ข้อเหนือผิวดิน (upper nodal tillering and rooting ability) และการชูรวง (kneeing ability)

5. ข้าวน้ำลึก ข้าวที่ปลูกในพื้นที่น้ำลึก ระดับน้ำในนามากกว่า 50 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 100 เซนติเมตร

6. ข้าวไร่ ข้าวที่ปลูกในที่ดอนหรือในสภาพไร่ บริเวณไหล่เขาหรือพื้นที่ซึ่งไม่มีน้ำขัง ไม่มีการทำคันนาเพื่อกักเก็บน้ำ

7. ข้าวนาที่สูง ข้าวที่ปลูกในนาที่มีน้ำขังบนที่สูงตั้งแต่ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป พันธุ์ข้าวนาที่สูงต้องมีความสามารถทนทานอากาศหนาวเย็นได้ดี

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ขนมจีน มาจากไหน

คำว่า "ขนมจีน" ไม่ใช่อาหารจีน แต่คำว่า "จีน" ที่ต่อท้ายขนมนี้สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากมอญซึ่งเรียกขนมจีนว่า "คนอมจิน" หมายถึง "สุก 2 ครั้ง" พิศาล บุญปลูก ชาวไทยเชื้อสายรามัญผู้สนใจศึกษาอาหารและวัฒนธรรมมอญกล่าวว่า " จริง ๆ แล้ว ขนมจีนเป็นอาหารของคนมอญหรือรามัญ คนมอญเรียกขนมจีนว่า คนอมจิน คนอม หมายความว่าจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน จินแปลว่าทำให้สุก"[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนี้ "คนอม" นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะใกล้เคียงกับคำไทย "เข้าหนม" แปลว่าข้าวที่นำมานวดให้เป็นแป้งเสียก่อน ซึ่งภายหลังกร่อนเป็น "ขนม" จริง ๆ แล้ว ขนม ในความหมายดั้งเดิมจึงมิใช่ของหวานอย่างที่เข้าใจในปัจจุบัน ขนม หรือ หนม ในภาษาเขมร หรือ คนอม ในภาษามอญหมายถึงอาหารที่ทำจากแป้ง ดังนั้นขนมจีน จึงน่าจะเพี้ยนมาจาก คนอมจิน ซึ่งทำให้เกิดสมมุติฐานตามมาอีกว่า ดั้งเดิมทีเดียวขนมจีนเป็นอาหารมอญ แล้วจึงแพร่หลายไปสู่ชนชาติอื่น ๆ ในสุวรรณภูมิตั้งแต่โบราณกาล จนเป็นอาหารที่ทำง่ายและมีความนิยมสูง สามารถหาทานได้ทั่วไป


ขนมจีนภาคกลาง

ขนมจีนน้ำยา

นิยมกินกับน้ำพริก น้ำยาและแกงเผ็ดชนิดต่างๆ น้ำยาของภาคกลาง นิยมกินกับน้ำยากะทิ เน้นกระชายเป็นส่วนผสมหลัก ส่วนน้ำพริกเป็นขนมจีนแบบชาววัง ปนด้วยถั่วเขียว ถั่วลิสง กินกับเครื่องเคียงทั้งผักสด ผักลวก และผักชุบแป้งทอด ขนมจีนซาวน้ำ เป็นขนมจีนที่นิยมในช่วงสงกรานต์ กินกับสับปะรด ขิง พริกขี้หนู กระเทียม มะนาว ราดด้วยหัวกะทิเคี่ยว ทางสมุทรสงครามและเพชรบุรีจะปรุงรสหวานด้วยน้ำตาลมะพร้าว
เส้นขนมจีนของภาคกลางที่มีชื่อเสียงคือขนมจีนแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา และขนมจีนปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นขนมจีนเส้นเล็กเหนียว จับขนาดเล็ก ส่วนขนมจีนหล่มสักและหล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์เป็นขนมจีนแป้งสดที่มีชื่อเสียง ขนมจีนเฉพาะถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่

• นครปฐม กินขนมจีนกับแกงป่าน้ำใสที่ใส่พริกขี้หนูกับเม็ดพริกไทยอ่อน ถ้าเป็นแกงปลาจะเพิ่มกระชาย ใบกะเพรา และใบยี่หร่า กินคู่กับตีนไก่ตุ๋นและไหลบัวลวก

• ขนมจีนชาววังชนิดหนึ่ง เรียกขนมจีนครามแดง กินกับกุ้งย่าง แตงกวาฝาน ขิงซอย สะระแหน่ ราดน้ำยำจากน้ำพริกเผา อีกชนิดหนึ่งเรียกขนมจีนชิดลม กินกับไก่ต้มกะทิ ราดด้วยน้ำพริกเผาผสมมะนาว

ขนมจีนภาคเหนือ

เรียกขนมจีนว่า ขนมเส้นหรือข้าวเส้น นิยมขนมจีนน้ำเงี้ยวที่มีดอกงิ้วเป็นองค์ประกอบสำคัญ กินกับแคบหมูเป็นเครื่องเคียง ]
ขนมจีนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เรียกขนมจีนว่า ข้าวปุ้น อีสานใต้เรียกว่า นมปั่นเจ๊าะ คล้ายกับกัมพูชา นิยมกินกับน้ำยาใส่ปลาร้า ใส่กระชายเหมือนน้ำยาภาคกลาง และข้าวปุ้นน้ำแจ่วที่กินขนมจีนกับน้ำต้มกระดูก ปรุงรสดวยน้ำปลาร้า ไม่ใส่เนื้อปลา และนำขนมจีนมาทำส้มตำเรียกตำซั่ว นิยมขนมจีนแป้งหมัก ขนมจีนเฉพาะถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่

• นครราชสีมา มีน้ำยาไก่ที่คล้ายแกงเผ็ดไก่ของทางภาคกลาง แต่ไม่ใส่มะเขือและใบโหระพา ใส่เครื่องในไก่ เลือดไก่และตีนไก่แทน
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเส้นขนมจีนที่เป็นเอกลักษณ์ 2 แบบคือ
ด้องแด้ง เป็นเส้นขนมจีนที่เกิดจากการกดแป้งขนมจีนผ่านพิมพ์ที่รูกว้างกว่าปกติ ทำให้ได้เส้นขนมจีนขนาดใหญ่ อ้วนกลม นิยมนำมาใส่ในส้มตำ ต้นตำรับมาจากอำเภอปากชม จังหวัดเลย

• ไข่โอก เป็นขนมจีนแบบโบราณ เกิดจากการกดแป้งชนมจีนให้เป็นเม็ดกลมสั้น นิยมขายคู่กับด้องแด้ง ใช้ใส่ส้มตำ
ขนมจีนภาคใต้
เรียกขนมจีนว่า โหน้มจีน โดยเป็นอาหารเช้าที่สำคัญของภาคใต้ฝั่งตะวันตก เช่น ระนอง พังงา ภูเก็ต กินกับผักเหนาะชนิดต่างๆ ทางภูเก็ตกินกับห่อหมก ปาท่องโก๋ ชาร้อน กาแฟร้อน ทางชุมพรนิยมกินขนมจีนเป็นอาหารเย็น กินกับทอดมันปลากราย ส่วนที่นครศรีธรรมราชกินเป็นอาหารเช้าคู่กับข้าวยำ น้ำยาทางภาคใต้ใส่ขมิ้นไม่ใส่กระชายเหมือนภาคกลาง ถ้ากินคู่กับแกงจะเป็นแกงไตปลา ขนมจีนเฉพาะถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ได้แก่

• ภูเก็ต มีขนมจีนน้ำยาปู คล้ายน้ำยาปลาแต่ใช้เนื้อปูม้าแทนเนื้อปลา และยังกินขนมจีนกับน้ำชุบหยำหรือน้ำพริกที่ปรุงด้วยการขยำเครื่องปรุงเข้าด้วยกัน ไม่ได้โขลกให้เข้ากันในครก
• พังงา กินกับแกงไตปลาที่รสเผ็ดน้อย ปรุงรสเปรี้ยวด้วยสับปะรดและส้มแขก

• ชุมพร กินกับแกงไตปลาหรือแกงขี้ปลาที่ใส่ข่า กระชาย หอม กระเทียมที่ซอยละเอียด ไม่ได้นำไปโขลกกับน้ำพริกแกง มีสีเหลืองจากขมิ้นชัน

ขนมจีนนานาชาติ

• เวียดนามมีเส้นคล้ายขนมจีนเรียกบุ๋น นิยมกินกับน้ำซุปหมูและเนื้อ ซึ่งเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงของเว้ เรียก บุ๋นบ่อเหว

• ลาวเรียกขนมจีนว่าข้าวปุ้น นิยมกินกับน้ำยาปลาหรือน้ำยาเป็ด ทางหลวงพระบางกินกับน้ำยาผสมเลือดหมูเรียกน้ำแจ๋ว

• กัมพูชาเรียกขนมจีนว่า นมปันเจ๊าะ นิยมกินกับน้ำยาปลาร้า

• พม่ามีอาหารประจำชาติเรียกหม่อนี่งา ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมจีนน้ำยาปลาของไทยแต่ใส่หยวกกล้วยไม่มีกะทิและ
กระชาย

การรับประทานเมื่อเรียงจับขนมจีนลงในจับแล้ว ผู้รับประทานจะราดน้ำยาลงไปบนเส้นขนมจีนให้ทั่ว น้ำยาขนมจีนนั้น มีลักษณะคล้ายน้ำแกง ไม่เหลวจนเกินไป ใช้ราดไปบนเส้นขนมจีนในจาน แต่ละท้องถิ่นจะมีน้ำยาแตกต่างกันไป เช่น น้ำยากะทิ น้ำยาป่า น้ำพริก แกงกะทิต่างๆ เช่น แกงเขียวหวาน น้ำเงี้ยว แกงไตปลา ซาวน้ำ สำหรับเด็กก็ยังมี น้ำยาหวานที่ไม่มีรสเผ็ดและมีส่วนผสมของถั่ว เป็นต้นใช้ช้อนตัดเส้นขนมจีนให้มีความยาวพอดีคำ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากับน้ำยา บางท่านนิยมรับประทานขนมจีนกับน้ำปลา นอกจากน้ำยาแล้ว ยังมีเครื่องเคียงเป็นผักสดและผักดอง ตามรสนิยมในแต่ละท้องถิ่น เครื่องเคียงประเภททอด เช่น ทอดมัน ดอกไม้ทอด หรืออื่นๆ ตามแต่ความชอบและความนิยมในแต่ละภาค
ผักที่รับประทานคู่กับขนมจีน

ผักที่รับประทานกับขนมจีนแต่ละภาคมีความแตกต่างกัน ดังนี้

• ภาคกลาง เรียกผักที่กินคู่กับขนมจีนว่า "เหมือด" ได้แก่ หัวปลีซอย ถั่วฝักยาว แตงกวา ถั่วงอก มะละกอดิบ ใบแมงลัก กะหล่ำปลี ผักกระเฉด ใบบัวบก ผักลวกมีมะระจีน ผักบุ้ง ผักชุบแป้งทอดที่กินกับขนมจีนน้ำพริกเท่านั้น ได้แก่ ใบผักบุ้ง ใบเล็บครุฑ ใบกะเพรา ดอกแค ดอกอัญชัน ดอกพวงชมพู ดอกเข็ม ผักดอง เช่น ผักกาดดอง เครื่องเคียงอื่นๆ เช่น พริกขี้หนูแห้งคั่ว ไข่ต้มยางมะตูม

• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผักสดได้แก่ ยอดจิก ยอดมะกอก ผักติ้ว ใบแต้ว ผักชีลาว ผักชีล้อม ผักแขยง ผักไผ่ ยอดชะอม ยอดกระถิน เม็ดกระถิน

• ภาคเหนือ กินกับผักกาดดองและถั่วงอกดิบ

• ภาคใต้ เรียกผักที่กินกับขนมจีนว่า "ผักเหนาะ" ผักสด ได้แก่ ยอดมันปู ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะกอก ยอดทำมัง สะตอ ลูกเนียง เม็ดกระถิน ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ถั่วพู มะเขือเปราะ ใบบัวบก ผักดอง เช่น แตงกวา หอม กระเทียม มะละกอดิบ ส้มมุด ถั่วงอก ขนุนอ่อน หัวไชโป๊วหวาน หน่อไม้รวก ผักต้มกะทิ เช่น สายบัว ผักบุ้ง หัวปลี ขนุนอ่อน

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เลือดกำเดา มาจากไหน

ถึงแม้อุณหภูมิในหน้าร้อนจะสูงขึ้นสักเพียงไหน ก็ไม่เคยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความซนของเจ้าตัวแสบได้แม้แต่น้อย แต่…อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวเล็กก็ร้องไห้จ้า เพราะตกใจที่จู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกจากจมูก คุณแม่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตามลูกไปนะคะ เพราะหน้าร้อนแบบนี้ เด็กๆ เขาก็อาจมีเลือดกำเดาไหลกันได้บ้าง
สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล



• ในเด็กผนังเยื่อบุโพรงจมูกจะบาง เมื่อเล่นกลางแจ้งนานๆ อุณหภูมิในร่างกายลูกจะสูงขึ้น เส้นเลือดฝอยเล็กๆ อาจเกิดการฉีกขาดทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้

• เกิดการกระทบกระเทือน เช่น วิ่งชน หกล้ม หรือแม้แต่การแคะแกะเกาจมูกของเจ้าตัวเล็ก ก็อาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้

• ร่างกายขาดวิตามินซี ก็อาจทำให้เลือดกำเดาออกง่ายได้

• อาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ทางเดินหายใจอักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ต้องรักษาตามอาการ

• ถ้าเลือดกำเดาไหล พร้อมกับมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำๆ ตามตัว ควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคเลือด เช่น ลูคีเมีย
วิธีปฐมพยาบาล

• โดยทั่วไปเลือดกำเดาจะหยุดไหลได้เองภายในไม่เกิน 5 นาที ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการให้ลูกได้โดยใช้กระดาษชำระม้วนเป็นแท่งเล็กๆ อุดในรูจมูก ให้ลูกนั่งตัวตรงศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ และหายใจทางปาก

• หาผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณจมูก เพื่อทำให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลเร็วขึ้น และส่วนหนึ่งช่วยลดอุณหภูมิร้อนในร่างกาย
ป้องกันไว้ก่อน

• หลีกเลี่ยงการพาลูกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งนานๆ เมื่ออากาศร้อนจัด ก็แวะพักในร่มหรือตามใต้ต้นไม้บ้าง อุณหภูมิในร่างกายจะได้ไม่สูงมาก เพราะอากาศร้อน นอกจากจะทำให้เลือดกำเดาไหลได้แล้ว ลูกอาจเป็นไข้ได้

• อย่าให้ลูกแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรงๆ

• เสริมอาหารวิตามินซีสูง อาจนำมาประยุกต์เป็นเครื่องดื่มผลไม้ปั่น เช่น น้ำส้มปั่น สับปะรดปั่น หรือเต้าฮวยฟรุตสลัด ให้ลูกเป็นของว่างสำหรับหน้าร้อนนี้

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เงิน มาจากไหน

ปัญหาใหญ่ที่สุดของบรรดาครูบาอาจารย์และนักวิชาการก็คือ การทึกทักเอาว่านักเรียน นักศึกษา ลูกศิษย์ และผู้อ่าน ผู้ฟัง มีความรู้พื้นฐานแน่นเปรี๊ยะ ดังนั้นเมื่อเวลาท่านเอ่ยอ้างอะไรเป็นบางส่วนออกไปแล้ว ผู้ที่อ่านหรือฟัง ก็สามารถต่อเติมเต็มเข้าใจได้เป็นอย่างดี อาทิ อ้างถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว, เมษาฮาวาย, กบฏไม่มาตามนัด, วิภาษวิธีของมาร์กซ์, อุปสงค์-อุปทาน, วิกฤต, องคาพยพ, ประชาพิจารณ์, บูรณาการ, ประชาสังคม, ศีลข้อที่ 2, แผนยุทธศาสตร์, กระบวนทัศน์, บริบท, ทุนทางสังคม ฯลฯ



แต่ในความเป็นจริงนั้น คนส่วนใหญ่เขาไม่รู้เรื่องที่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิทั้งปวงทั้งพูดทั้งเขียนเลย หากแต่คนไทยส่วนใหญ่ได้รับการสั่งสอนอบรมมา (โดยไม้เรียว) ไม่ให้ถามครูอาจารย์มาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแล้ว ผู้อ่านและผู้ฟังชาวไทยจึงเป็นผู้อ่านและผู้ฟังที่สงบเงียบเรียบร้อยที่สุดในโลก

ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่เงินที่เราจับจ่ายใช้สอยกันอยู่ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร?

จริงๆ นะ เอาพวกเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ ส่วนใหญ่ยังเชื่อกันอยู่ว่าเงินประเภทกระดาษที่เรียกว่าธนบัตร ที่เป็นกระดาษเปื้อนหมึกนั้นมีทองคำหนุนหลังอยู่ ทั้งๆ ที่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นกันมาแล้ว ยิ่งพวกเรียนอนุปริญญาทางการเงินมายิ่งเชื่อเช่นนั้นแทบทุกคน ทั้งๆ ที่การมีทองคำหนุนหลังธนบัตรนั้น เขาเลิกไปเกือบสี่สิบปีแล้ว

เอาละแม้ว่าเราจะยังยอมรับเอากระดาษที่เป็นธนบัตรกับเหรียญกษาปณ์มาเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยน แบบว่ายอมรับว่าเป็นเงินจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องตลกเหลือเชื่ออีกนะ

ผู้เขียนขอยกตัวเลขที่ศาสตราจารย์จอห์น สโลแมน (John Sloman) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ชี้ให้เห็นถึงปริมาณเงินในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เมื่อกลางเดือนตุลาคม พ.ศ.2551 นี้ว่ามีเงินที่เป็นกระดาษ และเหรียญกษาปณ์อยู่ห้าหมื่นล้านปอนด์ ซึ่งในจำนวนนี้อยู่ในกระแสหมุนเวียนของคนที่ใช้เงินสดอยู่ประจำวัน สี่หมื่นสามพันล้านปอนด์ ส่วนอีกเจ็ดพันล้านปอนด์นั้นอยู่ในธนาคารและเครื่องเอทีเอ็ม

ท่านผู้อ่านเชื่อไหมว่า ธนาคารได้สร้างตัวเลขจากเจ็ดพันล้านปอนด์ขึ้นเป็นตัวเลขถึงหนึ่งพันแปดร้อยพันล้านปอนด์ (ขออภัยที่ใช้ตัวเขียน เพราะตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน) พูดง่ายๆ ฟังกันชัดๆ คือ ธนาคารสร้างตัวเลขจำนวนเงิน เพิ่มขึ้นมาจากที่ธนาคาร มีเป็นธนบัตรอยู่จริงถึง 257 เท่า (เฉพาะในประเทศสหราชอาณาจักรประเทศเดียวนะ)

ทีนี้ท่านผู้อ่านคงไม่สงสัยแล้วนะว่าทำไมจึงมีคนอยากจะสร้างธนาคารกันนัก!

คราวนี้ก็ต้องอธิบายว่า พวกธนาคารเขาเล่นกลอย่างนี้ได้อย่างไร?

คำตอบก็คือ เงินซึ่งเราเห็นเป็นตัวธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์นั้นเป็นเพียงส่วนประกอบที่เล็กมากๆ ในระบบการเงินการธนาคารและระบบเศรษฐกิจทั้งหมด

เงินเป็นสื่อของการแลกเปลี่ยน เมื่อคนเราซื้อของใหญ่ๆ หรือบางทีของเล็กๆ ที่มีราคาสูง เรามักไม่ใช้เงินสด เนื่องจากการพกเงินสดติดตัวเยอะๆ นี่อันตรายนะ (เห็นจากทีวีที่คนไทยขนเงินสดจำนวนมากไปซื้อทองแท่งที่เยาวราช แล้วหวาดเสียวแทนจริงๆ) อย่างที่คุณหญิงพจมานซื้อที่ดินรัชดาฯที่มีราคา 700 กว่าล้านบาทนั้น ก็ชำระเงินเป็นเช็คไม่ใช่เงินสดหรอก ดังนั้นจึงไม่มีธนบัตรจริงเปลี่ยนมือกันเลย หากแต่เป็นการปรับตัวเลขในบัญชีเงินฝากในธนาคารของผู้ซื้อและผู้ขายที่ดินเท่านั้น

ประชาชนทั่วไปที่ใช้บัตรเครดิตไปซื้อของที่ร้านซุปเปอร์สโตร์แบบบิ๊กซี โลตัส หรือคาร์ฟูร์ เช่น ซื้อน้ำมันพืช, ผลิตภัณฑ์นมที่มีและไม่มีเมลามีนผสม, ขนมขบเคี้ยว, ขาหมู ฯลฯ ก็มักชอบรูดบัตรเครดิตซึ่งก็คือการเปลี่ยนตัวเลขในธนาคารของลูกค้ากับซุปเปอร์สโตร์เท่านั้นเอง ไม่ได้มีการเปลี่ยนมือของธนบัตรจริงๆ เลย

ด้วยระบบแบบนี้ธนาคารจึงได้มีเงิน (ในกระดาษบัญชี ไม่ใช่เงินที่เป็นธนบัตรจริงๆ) ไปปล่อยให้ผู้คนและธุรกิจต่างๆ กู้เพื่อใช้จ่ายหรือสร้างและขยายธุรกิจ เมื่อมีการใช้จ่ายเงินกู้นั้นในร้านขายของแล้ว ร้านขายของเหล่านั้นก็เอาธนบัตรนั้นกลับมาฝากที่ธนาคารอีก ธนาคารก็เพิ่มบัญชีเงินฝากของธนาคารอีก เล่นวนกันไปมาอย่างนี้นี่แหละที่ทำให้มีเงินในธนาคารที่ไม่ใช่ธนบัตรเพิ่มได้ถึง 257 เท่า

ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเห็นว่าธนาคารเล่นแบบนี้เป็นเรื่องหลอกลวงผิดศีลธรรม แต่หากจะเอาเฉพาะเงินที่อยู่ในรูปแบบของธนบัตรจริงๆ เศรษฐกิจจะไม่สามารถขยายตัวได้ เครดิตเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก มนุษย์ยอมรับว่า การที่เงินฝากอยู่ในธนาคารนั้นมีค่ามากกว่าการที่เงินถูกเก็บอยู่ในตุ่มหลังบ้าน เนื่องจากเงินที่ฝากอยู่ในธนาคารมีโอกาสที่จะได้เติบโต ออกดอกออกผล ในเมื่อนี่คือความเชื่อที่คนทั้งโลกมีร่วมกันเสียแล้ว บวกเข้ากับความจริงที่พิสูจน์กันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า คนส่วนมากจะไม่ไปถอนเงินทั้งหมดที่มีอยู่ออกจากธนาคารพร้อมๆ กัน

ระบบเล่นวนกับตัวเลขในบัญชีเงินฝากของธนาคารจึงดำรงอยู่ได้

ที่พูดมาทั้งหมดนี่พูดถึงเวลาปกตินะที่คนผู้มีเงินฝากในธนาคารจะแห่กันไปถอนเงินจากธนาคารพร้อมๆ กัน แต่ถ้าไม่เวลาปกติเช่นปัจจุบันนี้ หากคนที่มีเงินฝากในธนาคารสักแค่ 20% แห่กันไปถอนเงินภายในวันเดียว รับประกันได้เลยว่าธนาคารไหนธนาคารนั้นที่ว่าแน่ๆ เจ๊งทุกราย เพราะไม่มีเงินในรูปธนบัตรจ่ายหรอก

นี่แหละถึงต้องมีธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะได้ให้เงินธนาคารกู้ไปจ่ายผู้ฝากเงินของธนาคารทั่วไป เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยพิมพ์ธนบัตรขึ้นเองได้ยังไงล่ะ!

แต่การพิมพ์ธนบัตรออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอก เพราะว่าพิมพ์ออกมามากเกินไปธนบัตรก็เป็นแบงก์กงเต๊กเท่านั้น คนก็จะหันไปใช้ทองคำหรือโลหะอันมีค่าอื่นๆ แทน เพราะอย่างน้อยก็มีค่ามากกว่ากระดาษเปื้อนหมึกแน่ๆ

คราวนี้คงจะเข้าใจนะว่า ทำไมรัฐบาลทั่วโลกถึงต้องออกมาประกาศประกันเงินฝากในธนาคารของประชาชน 100% กันแทบทุกประเทศ และที่รัฐบาลไทยได้ยืดเวลาการประกันเงินฝากธนาคารของประชาชน 100% ออกไปอีก 3 ปี ทั้งๆ ที่กฎหมายเพิ่งออกไปหยกๆ ว่าจะประกันเงินฝากแค่ล้านเดียวต่อหนึ่งบัญชี/ธนาคารภายใน 5 ปี

ก็เพราะเงินฝากธนาคารตอนแรกนั้นมันเป็นเงินที่เป็นธนบัตรที่ไม่มีทองคำหนุนหลังจริงๆ ยังไงล่ะ!

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไฟฟ้า มาจากไหน

ไฟฟ้ามีต้นกำเนินมาอยู่หลายวิธี แต่คุณเคยรู้และเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าค่ะ ว่าแทนจริงแล้วไฟฟ้าที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มันมาจากไหนกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบให้คุณค่ะ


ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้หลายวิธี

o เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า
o เกิดจากการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานไฟฟ้า
o เกิดจากการเปลี่ยนแสงสว่างให้เป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell)หรือ โฟโตเซลล์(Photo Cell)
o เกิดจากปฎิกิริยาเคมี เช่น แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย เซลล์แห้งและเซลล์เชื้อเพลิง เป็นต้น

เกิดจากการเหนี่ยวนำของอำนาจแม่เหล็กโดยเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ได้แก่ ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ตามอาคารบ้านเรือนในปัจจุบัน

เครื่องกำเนิดไฟฟ้า

เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานกลมาเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยการเหนี่ยวนำของแม่เหล็กตามหลักการของ ไมเคิล ฟาราเดย์ คือ การเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนำผ่านสนามแม่เหล็ก หรือการเคลื่อนที่แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนำ จะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในขดลวดตัวนำนั้น

เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือชนิดกระแสตรงเรียกว่า ไดนาโม(Dynamo) และชนิดกระแสสลับเรียกว่า อัลเตอร์เนเตอร์(Alternator) สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมนั้น โดยมากจะเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ ซึ่งมีทั้งแบบ 1 เฟส และแบบ 3 เฟส โดยเฉพาะเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้ตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกำเนิดแบบ 3 เฟสทั้งหมด เนื่องจากสามารถผลิตและจ่ายกำลังไฟฟ้าได้เป็นสามเท่าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ 1 เฟส

โดยทั่วไปแล้วเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือส่วนที่เรียกว่า โรเตอร์(Rotor) ซึ่งจะมีขดลวดตัวนำฝังอยู่ในร่องรอบแกนโรเตอร์ที่ทำจากแผ่นเหล็กซิลิคอน(Silicon Steel Sheet) ขนาดหนาประมาณ 0.35-0.5 มิลลิเมตร นำมาอัดแน่นโดยระหว่างแผ่นเหล็กซิลิคอนจะมีฉนวนเคลือบ ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าไหลวน (Eddy Current) ภายในแกนเหล็กของโรเตอร์จะได้รับไฟฟ้ากระแสตรงจากเอ็กไซเตอร์(Excitor) เพื่อทำหน้าที่ในการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น อีกส่วนหนึ่งของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าคือส่วนที่อยู่กับที่ เรียกว่า สเตเตอร์(Stator) ภายในร่องแกนสเตเตอร์ มีขดลวดซึ่งทำจากแผ่นเหล็กอัดแน่นเช่นเดียวกับโรเตอร์ฝังอยู่ อาศัยหลักการของการเคลื่อนที่ของแม่เหล็กผ่านลวดตัวนำ จะทำให้เกิดการเหนี่ยวนำแรงดันไฟฟ้าที่สเตเตอร์และนำแรงดันไฟฟ้านี้ไปใช้ต่อไป

อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ คือ เอ็กไซเตอร์อยู่แกนเดียวกับโรเตอร์ ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้ากระแสตรงป้อนให้แก่โรเตอร์ (D.C. Exciting Current) เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นบนโรเตอร์ ชนิดของเอ็กไซเตอร์จะเป็นแบบไฟฟ้ากระแสตรง หรืออาจจะใช้แบบกระแสสลับ แล้วผ่านวงจรแปลงไฟฟ้าให้เป็นกระแสตรงก่อนป้อนเข้าสู่โรเตอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่มักจะใช้เอ็กไซเตอร์ชนิดหลังเป็นส่นมาก

การควบคุมแรงดันไฟฟ้าของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถกระทำได้โดยการปรับความเข้มของสนามแม่เหล็กที่โรเตอร์สร้างขึ้นด้วยการปรับกระแสไฟฟ้าตรงที่ป้อนให้กับโรเตอร์ ส่วนความถี่ของไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง คือ ความเร็วรอบที่โรเตอร์หมุน ยิ่งหมุนรอบมากความถี่ไฟฟ้าก็จะยิ่งสูง และจำนวนขั้วแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างขึ้นบนโรเตอร์ ยิ่งมีขั้วมากเท่าไร ความถี่ไฟฟ้าก็จะมากขึ้นตาม ซึ่งพอสรุปออกมาได้ดังสมการ

n=120f/p
f หมายถึง ความถี่ไฟฟ้า (เฮิรตซ์)
n หมายถึง ความเร็วรอบในการหมุน (รอบต่อนาที)
p หมายถึง จำนวนขั้วแม่เหล็ก (ขั้ว)

ด้านประสิทธิภาพ มิใช่อยู่ที่ตัวเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเท่านั้น ต้องควบคุมการผลิตไฟฟ้าให้ได้ระดับแรงดันและความถี่อยู่ในเกณฑ์กำหนดด้วย ดังนั้น ความเร็วรอบหมุนและสนามแม่เหล็กที่สร้างขึ้นบนโรเตอร์จึงต้องได้รับการควบคุมอยู่เสมอ โดยจะมีตัวโกเวอร์เนอร์(Governor) ควบคุมความเร็วรอบให้คงที่ ถ้าความเร็วรอบลดลงก็จะส่งสัญญาณไปยังแหล่งต้นกำลังงาน ให้เพิ่มกำลังในการหมุนมากขึ้นเพื่อเข้าสู่สภาวะปกติต่อไป

ไฟฟ้าในประเทศไทย

ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ความถี่ 50 เฮิร์ตซ์ มีทั้งระบบ 1 เฟส แรงดัน 220 โวลต์ ซึ่งใช้ในบ้านอยู่อาศัย และระบบ 3 เฟส แรงดัน 380 โวลต์ ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และแรงดันขนาด 11, 22, 33, 69, 115, 230 และ 500 กิโลโวลต์ สำหรับการส่งจ่ายไฟฟ้าภายในประเทศ

ความถี่ 50 เฮิร์ตซ์ คือ ใน 1 วินาที ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้ จะหมุนครบรอบตัดผ่านขดลวดตัวนำบนสเตเตอร์ครบ 50 ครั้ง ในกรณีที่โรเตอร์มีขั้วแม่เหล็ก 2 ขั้ว ความเร็วรอบของโรเตอร์จะหมุน 3,000 รอบต่อนาที แต่ถ้ามีขั้วแม่เหล็ก 4 ขั้ว ความเร็วรอบจะลดลงเหลือ 1,500 รอบต่อนาที โดยมีความถี่คงที่

แหล่งผลิตไฟฟ้า

ไฟฟ้าไม่ใช่แหล่งพลังงาน แต่เป็นเพีงพลังงานแปรรูปที่สะอาด และใช้ได้สะดวกรูปหนึ่งเท่านั้น สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอื่นๆได้ง่าย เช่น แสงสว่าง เสียง ความร้อน พลังงานกล เป็นต้น ทั้งยังสามารถส่งไปยังระยะทางไกลได้อย่างรวดเร็ว กล่าวคือ ไฟฟ้ามีความเร็วใกล้เคียงกับแสง ในระยะทาง 100 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 1 ใน 3,000 วินาที ดังนั้นจึงส่งไปถึงผู้ใช้งานได้ตลอดเวลา

สำหรับแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่แท้จริง ก็คือ พลังที่นำมาใช้ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุนตลอดเวลาหากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหยุดหมุน การผลิตไฟฟ้าจะหยุดไปด้วย

การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. ประเภทไม่ใช้เชื้อเพลิง

1.1 โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากน้ำในอ่างเก็บน้ำ หรือจากลำห้วยที่อยู่ในระดับสูงๆ

1.2 โรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติจากต้นพลังงานที่ไม่หมดสิ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ความร้อนใต้พิภพ

2. ประเภทใช้เชื้อเพลิง

2.1 โรงไฟฟ้าพลังไอน้ำ ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านลิกไนต์ หรือน้ำมันเตา เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนแก่น้ำจนเดือดเป็นไอน้ำ นำแรงดันจากไอน้ำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า

2.2 โรงไฟฟ้าพลังความร้อน ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันดีเซลมาสันดาป ทำให้เกิดพลังงานกลต่อไป โรงไฟฟ้าประเภทนี้ได้แก่

1. โรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส ใช้ก๊าสธรรมชาติหรือน้ำมันดีเซล

o โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ใช้ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันดีเซล

โรงไฟฟ้าดีเซล ใช้น้ำมันดีเซล

การทำงานของโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ



โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นการนำทรัพยากรน้ำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้าโดยอาศัยความเร็วและแรงดันสูงมาหมุนกังหันน้ำ มีขั้นตอนดังนี้

1. น้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในระดับสูงกว่าโรงไฟฟ้าทำให้มีแรงดันน้ำสูง

2. ปล่อยน้ำในปริมาณที่ต้องการเข้ามาตามท่อส่งน้ำ เพื่อส่งไปยังอาคารโรงไฟฟ้าที่อยู่ต่ำกว่า

3. น้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในระดับสูงกว่าโรงไฟฟ้าทำให้มีแรงดันน้ำสูง

เพลาของเครื่องกังหันน้ำต่อกับเพลาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทำให้โรเตอร์หมุน เกิดการเหนี่ยวนำขึ้นในเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ได้พลังงานไฟฟ้าออกมาใช้งาน

โรงไฟฟ้าพลังไอน้ำ

เป็นการแปรสภาพพลังงานเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานไฟฟ้าโดยใช้ไอน้ำเป็นตัวกลาง ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้น้ำมันเตา ถ่านลิกไนต์ และก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีลำดับการทำงานดังนี้

1. เผาไหม้เชื้อเพลิง ทำให้เกิดการเผาไหม้ทางเคมีได้พลังงานความร้อน

2. นำความร้อนที่ได้ไปต้มน้ำ เพื่อให้กลายเป็นไอน้ำที่อุณหภูมิและความดันที่ต้องการ

3. ส่งไอน้ำเข้าไปหมุนเครื่องกังหันไอน้ำ ซึ่งมีเพลาต่ออยู่กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้โรเตอร์หมุนเกิดการเหนี่ยวนำขึ้นในเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ได้พลังงานไฟฟ้าออกมาใช้งาน

สำหรับในต่างประเทศ นอกจากเชื้อเพลิงที่ประเทศไทยใช้อยู่ ยังมีการใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ถ่านหินคุณภาพดี เช่น แอนทราไซต์ และบิทูมินัส เป็นต้น

โรงไฟฟ้ากังหันแก๊ส

เครื่องกังหันแก๊สเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน เปลี่ยนสภาพพลังงานเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้

1. อัดอากาศให้มีความดันสูง 8-10 เท่า

2. ส่งอากาศนี้เข้าห้องเผาไหม้ โดยมีเชื้อเพลิงทำการเผาไหม้

3. อากาศในห้องเผาไหม้เกิดการขยายตัว ทำหให้มีแรงดันและอุณหภูมิสูง

4. ส่งอากาศนี้ไปหมุนเครื่องกังหันแก๊ส

เพลาของเครื่องกังหันแก๊สจะต่อผ่านชุดเกียร์ เพื่อทดรอบก่อนต่อเข้ากับเพลาของเครื่องกังหันไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ความเร็วรอบของมอเตอร์ หมุนในพิกัดที่กำหนด เมื่อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุนจึงเกิดการเหนี่ยวนำ ผลิตแรงดันและกระแสไฟฟ้าออกมาใช้งาน

โรงไฟฟ้าระบบความร้อนร่วม

เป็นโรงไฟฟ้าที่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้า 2 ระบบร่วมกัน คือ โรงไฟฟ้ากังหันแก๊สและโรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำ โดยนำความร้อนจากไอเสียที่ออกจากเครื่องกังหันแก๊สซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 550 องศาเซลเซียส มาใช้แทนเชื้อเพลิงในการต้มน้ำของโรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำ เพื่อใช้ไอเสียให้เกิดประโยชน์ โดยมีหลักการทำงานดังนี้

1. นำไอเสียจากเครื่องกังหันแก๊สหลายๆ เครื่องมาใช้ต้มน้ำในโรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำ

2. ไอน้ำได้จากการต้มน้ำและไปดันเครื่องกังหันไอน้ำ ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุน ผลิตไฟฟ้าออกมาได้เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมทั่วไป

3. กำลังผลิตที่ได้จากโรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำ จะเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังผลิตรวมของโรงไฟฟ้ากังหันแก๊สที่เดินเครื่องอยู่

การผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าระบบความร้อนร่วมนี้จะทำการผลิตร่วมกัน หากเกิดเหตุขัดข้องที่โรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำก้ยังคงเดินเครื่องกังหันแก๊สได้ตามปกติ โดยการเปิดให้ไอเสียออกสู่อากาศโดยตรง แต่หากเกิดเหตุขัดข้องกับเครื่องกังหันแก๊สเครื่องใดเครื่องหนึ่ง กำลังผลิตที่ได้ก็จะลดลงตามส่วน และถ้าเครื่องกังหันแก๊สทุกตัวหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากังหันไอน้ำที่ใช้ร่วมกันก็จะต้องหยุดเดินเครื่องด้วย

โรงไฟฟ้าดีเซล

เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง มีหลักการทำงานเหมือนกับเครื่องยนต์ในรถยนต์ทั่วไป โดยอาศัยหลักการสันดาปของน้ำมันดีเซลที่ถูกฉีดเข้าไปในกระบอกสูบของเครื่องยนต์ที่ถูกอัดอากาศจนมีอุณหภูมิสูง ซึ่งเราเรียกว่าจังหวะอัด ในขณะเดียวกัน น้ำมันดีเซลที่ถูกฉีดเข้าไปจะเกิดการสันดาปกับความร้อนและเกิดระเบิด ดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ลงไปหมุนเพลาข้อเหวี่ยงซึ่งต่อกับเพลาของเครื่องยนต์ ทำให้เพลาของเครื่องยนต์หมุน เครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งเชื่อมต่อกับเพลาของเครื่องยนต์ก็จะหมุนตาม และผลิตไฟฟ้าออกมา



การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันและอนาคต

การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้สามารถเสริมกำลังผลิตแก่กันได้

เนื่องจากโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่นโรงไฟฟ้าพลังน้ำสามารถเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าได้รวดเร็ว มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ เพราะไม่เสียค่าเชื้อเพลิง แต่ต้องใช้ประโยชน์จากด้านอื่นๆ อีก จึงมีข้อจำกัดในด้านปริมาณและเวลาที่ใช้ ส่วนเครื่องกังหันแก๊สสามารถเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าได้รวดเร็ว แต่เสียค่าเชื้อเพลิงสูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่มีข้อดีคือ สามารถสร้างให้มีกำลังผลิตสูงได้

จากคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เมื่อว่างแผนจัดการผลิตไฟฟ้าแบบต่างๆ อย่างมีระบบแล้ว ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยไม่สูงเกินไป โดยมีการวางแผนการผลิตเป็นรายปี รายเดือน และแผนฉุกเฉิน ทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมภายในประเทศกำลังเจริญก้าวหน้าประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายแน่นอนที่จะขยายการพัฒนาไฟฟ้าไปสู่ชนบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็น แผนหลักและแผนทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ

นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษาและวิจัยพลังงานตามธรรมชาติอื่นๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ความร้อนใต้พิภพ สำหรับการผลิตไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย

ส่วนในต่างประเทศก็ได้มีการศึกษาและวิจัยการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำขึ้น-น้ำลง ความร้อนจากทะเล พลังคลื่น พลังงานรวมตัว (Fusion) พลังงานสุริยะ เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ กฟผ. ได้ติดตามศึกษามาโดยตลอด เพื่อว่าอาจนำมาใช้เป็นประโยชน์ในประเทศไทยต่อไป



ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้า

เครื่องผลิตไฟฟ้า 1 เครื่อง ของโรงไฟฟ้า สามารถผลิตไฟฟ้าส่งมาสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ ระดับหนึ่ง เมื่อต้องการเพิ่มขึ้นก็จะต้องมีเครื่องผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องมีโรงไฟฟ้า หลายแห่ง แต่ละแห่งมีเครื่องผลิตไฟฟ้าหลายเครื่องตามความเหมาะสม มีสายส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงไปยังแห่ง ใช้ไฟฟ้าทุกแห่ง และจะต้องก่อสร้างแหล่งผลิตและระบบส่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าซึ่งเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการขยายตัวของประชากร และการขยายตัวของเศรษฐกิจ

ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ความถี่ 50 เฮิร์ตซ์ มีทั้งระบบ 1 เฟส แรงดัน 220 โวลต์ ซึ่งใช้ในบ้านอยู่อาศัย และระบบ 3 เฟส แรงดัน 380 โวลต์ ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และแรงดันขนาด 69,115,230 และ 500 กิโลโวต์ สำหรับการส่งจ่ายไฟฟ้าภายในประเทศ

เนื่องจากการส่งจ่ายไฟฟ้าจะต้องมีการสูญเสีย ระยะทางไกลมากจะสูญเสียมาก นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับแหล่งพลังงานที่จะนำมาใช้หมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีกด้วย ดังนั้น จึงมีการสร้างแหล่งผลิต ไฟฟ้าในที่ต่างๆ กระจายไปทั่วประเทศ

การผลิตไฟฟ้ามีสาระสำคัญ 2 ประการคือ

1. กำลังผลิต หมายถึง ความสามารถที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดกำลังผลิต มีหน่วยเป็น "วัตต์" หรือ "กิโลวัตต์ (1,000 วัตต์)" หรือ "เมกะวัตต์ (1,000 กิโลวัตต์)"

2. พลังงานไฟฟ้า หมายถึง กำลังผลิตควบคู่กับระยะเวลาที่ทำการผลิตหรือในแง่การใช้ไฟฟ้า ก็หมายถึง ความสิ้นเปลืองไฟฟ้าที่ใช้ ซึ่งก็คือ กำลังไฟฟ้าที่ใช้ควบคู่กับระยะเวลาในการใช้ มีหน่วยเป็น "กิโลวัตต์ชั่วโมง" หรือ "หน่วย" หรือ "ยูนิต"

ไฟฟ้าไม่ใช่แหล่งพลังงาน แต่เป็นเพียงพลังงานรูปหนึ่งเท่านั้น แหล่งพลังงานไฟฟ้าที่แท้จริงก็คือ พลังที่นำมาใช้ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุนตลอดเวลาหากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหยุดหมุน การผลิตไฟฟ้าจะหยุดไปด้วย

สำหรับพลังที่นำมาใช้เดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือต้นกำลังที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ปัจจุบันนี้ ได้แก่

1. พลังน้ำ จากน้ำในอ่างเก็บน้ำ หรือน้ำจากลำห้วยที่อยู่สูงๆ

2. พลังความร้อน หรือ พลังไอน้ำ ซึ่งได้ความร้อนจากก๊าซธรรมชาติ ถ่านลิกไนต์ และน้ำมันเตา

3. พลังกังหันแก๊ส ได้ความร้อนจากก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันมันเตา

4. พลังจากเครื่องยนต์ดีเซล อาศัยน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง

พลังงานธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นพลังงานที่ไม่หมดสิ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นต้น

ระบบส่งไฟฟ้า

จากโรงไฟฟ้าต่างๆ ทำการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยแรงดันระดับหนึ่ง แล้วส่งผ่านหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อปรับแรงดันให้สูงขึ้นแล้วส่งเข้าสู่ระบบส่งไฟฟ้า เริ่มต้นที่ลานไกไฟฟ้าสายส่งไฟฟ้าแรงสูงแล้วไปสิ้นสุดที่สถานีไฟฟ้าแรงสูง โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าคอยควบคุมการผลิตและส่งไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ สถานีไฟฟ้าแรงสูงจะมีหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อลดระดับแรงดันไฟฟ้าแล้วส่งให้ฝ่าย จำหน่ายส่งบริการประชาชนต่อไปหรืออาจจะส่งให้โรงงานอุตสาหกรรม หรือส่งต่อไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงแห่งอื่นที่มีสายส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงกัน

ในประเทศไทยมีสถานีไฟฟ้าแรงสูงตั้งกระจายตามแหล่งชุมชน และอุตสาหกรรมทั่วไป มีสายส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงระหว่างสถานีไฟฟ้าแรงสูงต่างๆ ทำให้การดำเนินการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี

สายส่งไฟฟ้า

แหล่ง ผลิตไฟฟ้ามักจะตั้งอยู่ห่างไกลจากแหล่งใช้งานเพื่อลดการสูญเสียภายในสายส่ง ไฟฟ้าที่มีระยะทางไกลให้น้อยลงจึงทำการเพิ่มแรงดันโดยหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับ สายส่งไฟฟ้าแรงสูงของประเทศไทย ประกอบด้วยแรงดันระดับต่างๆ คือ ขนาดแรงดัน 69,115,230 กิโลโวลต์และ ขนาดแรงดันสูงพิเศษ 500 กิโลโวลต์

สถานีไฟฟ้าแรงสูง

เพื่อลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าซึ่งศูนย์กลางการใช้ไฟฟ้าอยู่ห่างไกลจากแหล่งผลิตไฟฟ้า จึงต้องส่งไฟฟ้าด้วยแรงดันไฟฟ้าระดับสูงเมื่อเข้าใกล้แหล่งใช้ไฟฟ้าก็ลดระดับแรงดันลงมาก่อนที่จะส่ง ไปจ่ายให้กับผู้ใช้ต่อไป การลดแรงดันจากระดับสูงลงไปถึงแรงดันระดับหนึ่งที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะนำไปจ่ายถึงผู้ใช้ไฟฟ้านั้นกระทำกันในจุดที่เรียกว่า "สถานีไฟฟ้า แรงสูง" สถานีดังกล่าวจะทำหน้าที่ควบคุมคุณภาพของไฟฟ้าที่จ่าย และมีหม้อแปลงไฟฟ้าทำหน้าที่ลดแรงดันของไฟฟ้าที่จ่ายออก ซึ่งปกติจะลดลงมาเหลือเพียง 11 หรือ 22 หรือ 33 กิโลโวลต์ แล้วแต่มาตรฐานที่กำหนด

หม้อแปลงไฟฟ้าที่ประจำอยู่ตามสถานีไฟฟ้าแรงสูงต่างๆ นั้น มีความสามารถ ในการจ่ายไฟฟ้าที่ปริมาณระดับหนึ่ง โดยเหตุนี้เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นก็จำเป็นต้องติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีพิกัดเพียงพอ

ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า

การควบคุมระบบไฟฟ้าของ กฟผ. หมายถึง การควบคุมระบบการผลิตไฟฟ้าและระบบส่ง เพื่อกระจ่ายการะแสไฟฟ้าให้กับ กฟน. กฟภ. การไฟฟ้าประเทศใกล้เคียง และลูกค้าโดยตรงของ กฟผ. ให้ได้รับกระแสไฟฟ้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน* อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

โดยเหตุที่ระบบไฟฟ้าประกอบด้วยโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ สายส่งไฟฟ้าระดับแรงดันต่างๆ และสถานีไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งตั้งกระจายอยู่ทั่วไปตามจังหวัดต่างๆ จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานกลางเพื่อให้โรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้าแรงสูง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานเป็นเดียวกัน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด หน่วยงานดังกล่าวคือ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า

หมายเหตุ * คุณภาพมาตรฐานหมายความว่า ระบบไฟฟ้าความถี่อยู่ในระดับ 50 รอบต่อวินาที (Hertz) และแรงดันไฟฟ้าอยู่ในระดับโวลเตจ (Voltage) ที่ต้องการ เช่น 22,33,69,115,230 และ 500 กิโลโวลต์เป็นต้น

ปัจจุบัน กฟผ. แบ่งเขตการดำเนินงานจ่ายไฟออกเป็น 5 เขต คือ

1. เขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม 4 จังหวัด

2. เขตพื้นที่ภาคกลางทั้งหมด ยกเว้นพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวม 23 จังหวัด

3. เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด รวม 19 จังหวัด

4. เขตพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด รวม 16 จังหวัด

5. เขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด รวม 14 จังหวัด

เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานควบคุมระบบไฟฟ้า และสอดคล้องกับการบริหารระบบส่งไฟฟ้าทั้งหมด 5 เขต จึงแบ่งศูนย์ ออกเป็น 6 ศูนย์ ด้วยกันดังนี้

1. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าส่วนกลาง ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ กฟผ. จังหวัดนนทบุรี มีหน้าที่และรับผิดชอบในการควบคุมะบบส่งไฟฟ้าในสายส่ง 230 กิโลโวลต์ และสูงกว่า ทั่วประเทศ รวมทั้งสายส่งเชื่อมโยงระหว่าง กฟผ. กับบริษัทรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวและกับการไฟฟ้ามาเลเซีย พร้อมทั้งควบคุมกา0รผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีกำลังผลิตติดตั้งสูงกว่า 100 เมกะวัตต์ขึ้นไป

2. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าเขตนครหลวง ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ กฟผ. จังหวัดนนทบุรี มีหน้าที่และรับผิดชอบในการควบคุมระบบส่งไฟฟ้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการ ไฟฟ้านครหลวงทั้งหมด

3. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าภาคกลาง ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของ กฟผ. จังหวัดนนทบุรี มีหน้าที่และรับผิดชอบในการควบคุมระบบส่งไฟฟ้าในสายส่ง 115 กิโลโวลต์ และต่ำกว่าและควบคุมการผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ยกเว้นเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

4. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งอยู่ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงขอนแก่น 1 อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมระบบส่งไฟฟ้าในสายส่ง 115 กิโลโวลต์ และต่ำกว่า พร้อมทั้งควบคุมการผลิตของโรงไฟฟ้าซึ่งมีกำลังผลิต ติดตั้งต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์

5. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าภาคใต้ ตั้งอยู่ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงลำภูรา อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการควบคุมระบบส่งไฟฟ้าในสายส่ง 115 กิโลโวลต์ และต่ำกว่า และควบคุมการผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตติดตั้งต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ ในเขตพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด

6. ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงพิษณุโลก อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการควบคุมระบบส่งไฟฟ้าในสายส่ง 115 กิโลโวลต์ และต่ำกว่า และควบคุมการผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตติดตั้งต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ ในเขตพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด

ศูนย์แต่ละแห่งจะคอยดูแลและควบคุมการไฟฟ้าภายในเขตควบคุมของตนโดยจะติดต่อประสานงานกับศูนย์ส่วนกลางตลอดเวลา คอยสั่งการเดินเครื่อง เพิ่มหรือลดระดับการเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้า การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และการปลดออกจากระบบ ทั้งนี้เพื่อให้ไฟฟ้าในระบบมีพอดีอยู่เสมอและสั่งการเพื่อส่งไฟฟ้าไปเพิ่มตามเขตต่างๆ เมื่อมีการใช้ไฟฟ้าเกินกำลังผลิตที่มีอยู่ในเขตนั้นๆ

สำหรับที่ศูนย์ส่วนกลางนั้น สามารถควบคุมการเดินเครื่อง เพิ่มหรือลดการผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตติดตั้งสูงกว่า 100 เมกะวัตต์ ขึ้นไปทั้งประเทศได้โดยตรง

ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า มีความสำคัญยิ่งต่อการผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศ และยังเป็นหน่วยงานกลาง ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างประหยัด มั่นคง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีภารกิจหลักต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวฉันใด ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าก็มีความสำคัญควบคู่กันไปด้วยฉันนั้น

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แบงก์ชาติรวย มาจากไหน

หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า เงินสำรองระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ก้าวกระโดดเป็น 2 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เรียกว่า มากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ถึง 6-7 เท่าตัว โดยในปีหลัง ๆ เพิ่มขึ้นถึงปีละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9 แสนกว่าล้านบาท


ด้วยเหตุนี้ ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีข้อเสนอกันเสมอ ๆ ว่า “แบงก์ชาติรวยแล้ว มีเงินสำรองระหว่างประเทศเกินพอแล้ว ควรที่จะตัดเงินจำนวนดังกล่าวออกมาบางส่วน เพื่อใช้ในการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งของชาติ หรือนำมาใช้ลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ๆ ของประเทศ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม”

แบงก์ชาติรวยมาจากไหน ทำไมจึงมีสินทรัพย์ต่างประเทศเยอะถึงขนาดนี้

ก่อนอื่น ต้องเริ่มจากแหล่งที่มาของเงิน ว่าแบงก์ชาติได้สินทรัพย์เหล่านี้มาอย่างไร ซึ่งมีอยู่ 3-4 ด้าน

ด้านแรก – มาจากการพิมพ์ธนบัตรใหม่เพื่อออกใช้ในระบบ ปัจจุบันเรามีธนบัตรใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบ นอนในกระเป๋าของทุกคน ในมือของสถาบันการเงิน รวมกันประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งทุกปี จำนวนธนบัตรออกใช้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มากไป ไม่น้อยไป ให้สอดรับกับปริมาณการใช้จ่ายในเศรษฐกิจ ที่นับวันจะมากขึ้น จากเงินเดือน รายได้ ยอดขาย ยอดการผลิต และความมั่งคั่ง ของทุกคน ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ล่าสุด ไทยมีธนบัตรเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อพิมพ์แบงก์ใหม่ออกมา ให้สถาบันการเงินแลกออกใช้ในระบบ อีกข้างหนึ่ง แบงก์ชาติก็จะได้เงินเข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋า เป็นจำนวนเท่ากัน เมื่อได้เงินมา เงินจำนวนดังกล่าวก็จะถูกนำไปซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศเพื่อหนุนหลังธนบัตร ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เงินสำรองระหว่างประเทศจึงเพิ่มขึ้น

ด้านที่สอง – มาจากการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน แข็งขึ้นเร็วจนเกินไป โดยช่วงที่คนต้องการเงินบาทกันมาก ๆ เช่น ช่วงที่ต่างชาติอยากมาลงทุนในประเทศไทย ทั้งในตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น ตลาดอสังหา ช่วงที่เราส่งออกได้ดี รวมไปถึงช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ผู้ส่งออกต้องการปกป้องความเสี่ยงของตนเองแล้วเร่งขายดอลลาร์ออกมา เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น แบงก์ชาติก็จะเข้าตลาดช่วยดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป ด้วยการขายเงินบาทออกมา รับเงินตราต่างประเทศเข้ากระเป๋าไป

ไม่น่าแปลกใจว่า ช่วงเงินบาทแข็ง จึงเป็นช่วงที่แบงก์ชาติมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางสัปดาห์ เงินสำรองระหว่างประเทศอาจจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 3-4 พันล้านดอลลาร์สรอ.

ในส่วนนี้ แบงก์ชาติก็มักจะหาทางดูดเงินบาทกลับไป เพื่อไม่ให้เงินบาทท่วมระบบ ส่วนหนึ่งทำโดยการออกพันธบัตร ดังนั้น พันธบัตร ธปท. ในระบบ จึงเพิ่มขึ้นจากต้นปี 49 ที่มีอยู่เพียง 6 แสนล้านบาทเป็นประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท เรียกได้ว่า ข้างหนึ่งธปท. มีสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่อีกข้างก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ด้านที่สาม – มาจากดอกผลของสินทรัพย์ต่างประเทศที่แบงก์ชาติมีอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศที่ไปลงทุน และได้เก็บสะสมงอกเงยขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยช่วงแรก ๆ ที่เราไม่ได้มีหนี้มาก ดอกผลที่ได้ก็มาก แต่ช่วงหลัง ๆ ที่แบงก์ชาติต้องออกพันธบัตร ธปท. เพื่อดูดสภาพคล่องกลับคืนเป็นจำนวนมาก ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายออกไปอีกข้างก็มากเช่นกัน ซึ่งต้องนำไปหักลบกับดอกผลที่ได้จากการไปลงทุนในต่างประเทศ

ท้ายสุด ยังมีเงินบริจาคจากท่านหลวงตามหาบัว ที่ได้กรุณานำเงินและทองจากทุกคน มาบริจาคต่อให้แบงก์ชาติเพื่อเป็นเงินก้นถุงให้กับเงินทุนสำรองระหว่าง ประเทศของไทย นับเป็นทองคำ 13 ตัน เงินอีก 10 ล้านดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ การที่ทุกคนเข้าใจกันว่า แบงก์ชาติรวยมากนั้น จึงไม่เป็นความจริง สินทรัพย์ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น เป็นเงินที่ยืมเขามาทั้งนั้น ซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะถ้าเราลองคิดดูดี ๆ ก็จะพบว่า แบงก์ชาติไม่ได้ทำมาหาได้ด้วยกิจการอะไร ไม่มีธุรกิจเป็นของตนเอง การที่จะสามารถมีสินทรัพย์ต่างประเทศสะสมเป็นเงินถึง 6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นปีละ 9 แสนล้านบาท ร่ำรวยอย่างมหาศาลในสายตาทุกคน ก็เกิดได้ด้วยจากวิธีการเดียวเท่านั้นคือ “ยืมเขามา” จากการดูแลค่าเงินบาทบ้าง จากการพิมพ์ธนบัตรบ้าง

ซึ่งเมื่อเป็นการยืมเขามา สินทรัพย์เหล่านี้ต่างเป็นเงินที่มีเจ้าของ จึงกล่าวได้ว่า “แบงก์ชาติไม่ได้รวยจริง ไม่ได้มีมากอย่างที่คิด” การจะตัดเงินสำรองระหว่างประเทศออกมา จัดตั้งเป็นเงินกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับกรณีของประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ซึ่งรวยจริง มีเงินจริงจากการขายน้ำมัน และได้ตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติกันแล้วในหลาย ๆ ประเทศ บางประเทศก็มีหลายกอง ก็ขอเอาใจช่วยทุกคนในเรื่องนี้ ให้มีคำตอบที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บ้านดิน มาจากไหน

หลาย คนกำลังตื่นเต้นกับบ้านดิน เพราะเห็นว่าเป็นของใหม่หรือของแปลก บางคนก็สงสัยว่าใครเป็นคนคิดประดิษฐ์ขึ้นมา และก็สงสัยต่อไปว่ามันจะพังง่ายไหม? เป็นต้น


บ้านดินไม่ใช่ของใหม่ แต่หากเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังทิ้งร่องรอยให้เราได้เห็นจน ทุกวันนี้ และบางที่ก็ยังมีคนอยู่อาศัยติดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน นับเวลาเกือบพันปี จนถึงปัจจุบัน

บ้านดินเริ่มต้นจากที่ไหน หรือใครเป็นคนสร้าง? เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก เพราะไม่มีหลักฐานที่ระบุไว้ชัดเจนนัก แต่หลักฐานที่มีมากที่สุดคือ ตัวสิ่งก่อสร้างที่ทำจากดินซึ่งคนสมัยก่อนสร้างไว้เป็นที่อยู่อาศัยหรือศาสน สถาน แต่เพราะความคงทนของมันจึงยังเหลือร่องรอยและเศษซากให้เห็นจนถึงปัจจุบัน อยู่มากมายทั่วโลก แต่จุดที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของบ้านดินหรือแอ่งวัฒนธรรมบ้านดินนั้น มีอยู่ 3 แอ่งใหญ่ ๆ คือ

๑. แอ่งตะวันออกกลาง ซึ่งกินอาณาเขตที่กว้างขวางมาก ด้านตะวันออกจะรวมมาถึงอินเดีย บังกลาเทศ เนปาล และจีน ส่วนด้านตะวันตกกินเนื้อที่ไปถึงตุรกี และยุโรปอีกหลายประเทศ แอ่งนี้เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมายาวนานหลายพันปี จนบางแห่งรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดแล้วก็ล่มสลายไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เช่น อาณาจักรเมโสโปเตเมีย หรือที่เรียกกันว่าแหล่งวัฒนธรรมแถบลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส ซึ่งปัจจุบันเหลือเศษซากทิ้งไว้ให้มนุษย์รุ่นหลังคาดคะเนกันเอาตามภูมิของ แต่ละคน

ทุกวันนี้หมู่บ้านต่าง ๆ ในเขตแอ่งตะวันออกกลางก็ยังคงเป็นบ้านดินทั้งหมู่บ้าน แม้แต่ในเมืองที่ถือว่าเจริญแล้วก็ยังมีคนสร้างบ้านด้วยดินอยู่อาศัยเหมือน เดิม อาจจะเป็นแหล่งที่คนอยู่ในบ้านดินมากที่สุดในโลกก็ได้

๒. แอ่งแอฟริกา ทั่วทั้งทวีปตั้งแต่อียิปต์ ไปจนถึงแอฟริกาใต้ เคยเป็นดินแดนที่ผู้คนใช้ดินสร้างเป็นที่อยู่อาศัยมายาวนานหลายพันปี จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เพราะเหตุที่แอฟริกาเป็นดินแดนที่ทุรกันดาน ไม่มีทรัพยากรมากมายเหมือนที่อื่น นักล่าอาณานิคมจึงไม่ค่อยสนใจนัก นักธุรกิจก็ไม่อยากเข้ามาลงทุน เลยทำให้ทวีปนี้ยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเองไว้ได้มากมาย ปัจจุบันหมู่บ้านส่วนมากก็ยังเป็นบ้านดินทั้งหมด หรือแม้แต่เมืองหลายเมืองก็ยังคงเป็นดินทั้งหมด แต่แอฟริกาไม่มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่มากนัก อาจจะเป็นเพราะแอฟริกาไม่เคยเจริญรุ่งเรืองมากเหมือนที่อื่น ๆ ก็เลยไม่ค่อยสร้างถาวรวัตถุทิ้งไว้มากนัก จวบจนอิสลามถูกเผยแพร่เข้าไป จึงเริ่มมีการสร้างมัสยิดกันมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีมัสยิดดินที่สวยงามมากมายในแอฟริกา ส่วนมากจะมีอายุระหว่าง 200 - 700 ปี โดยเฉพาะมัสยิด Djenne ที่ประเทศมาลี ซึ่งก่อสร้างในศตวรรษที่ 13 ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

๓. แอ่งทวีปอเมริกา เคยมีร่องรอยของวัฒนธรรมบ้านดินในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเริ่มจากทิศใต้ฝั่งตะวันตกแถว ๆ นิวเมกซิโก อริโซน่า ลงไปจนถึงเมกซิโก และทวีปอเมริกาใต้ หลักฐานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ซากสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของอินเดียแดงเผ่าอนาซาซี่ ที่เรียกกันว่าดีวา ดีวาคือสิ่งก่อสร้างที่เป็นรูปทรงกลม สร้างโดยขุดลงไปในดินลึกประมาณ 2 - 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กาง 3 - 4 เมตร ใช้อิฐดินดิบก่อเป็นกำแพงกลมขึ้นมาตามผนังบ่อ แล้วก่อเลยพื้นดินขึ้นไปอีกประมาณครึ่งเมตร จากนั้นก็ใช้ไม้เนื้อแข็งทั้งท่อนวางพาดเป็นหลังคาแล้วคลุมด้วยดินแต่เหลือ ช่องเล็ก ๆ ไว้เป็นทางขึ้นลง เขาใช้ดีวาเป็นที่ประชุมและประกอบพิธีกรรม ในอาณาจักรของอนาซาซี่ จะมีซากของดีวาปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป

ซากของ ชุมชนที่น่าสนใจอีกแห่งคือ เมสาเวอร์เด ซึ่งเป็นชุมชนสมัยโบราณที่สร้างหมู่บ้านอยู่ใต้หน้าผาขนาดใหญ่ และทั้งหมู่บ้านสร้างด้วยอิฐดินดิบ ก่อเป็นห้องติด ๆ กันและซ้อนกันขึ้นไป 2 - 3 ชั้น เหมือนตึกแถว เพราะมีหน้าผาเป็นหลังคากันแดดและฝนได้เป็นอย่างดี ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีอายุยาวนานมากกว่า 700 ปี และชนเผ่านี้ได้สูญหายไปทิ้งให้หมู่บ้านแห่งนี้ร้างต่อมาอีกหลายร้อยปี ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปฏิสังขรณ์สถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยว และเป็นแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยียนปีและหลายแสนคน

หมู่ บ้านเต๋าของเผ่า พูเอลโบล ก็เป็นหมู่บ้านดินอีกแห่งที่น่าสนใจ สร้างด้วยอิฐดินดิบทั้งหมู่บ้าน รูปทรงเหมือนกล่องสี่เหลี่ยม วางซ้อนกันขึ้นสูงถึง 4 ชั้น ที่สำคัญคือ หมู่บ้านนี้มีอายุเป็นพันปี และมีคนอยู่อาศัยเรื่อยมายาวนานจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะกันไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ ถือว่าเป็นบ้านดินที่เก่าแก่ที่สุดที่คนยังใช้อยู่อาศัยตลอดมา

พูเอ ลโปล คืออินเดียแดงเผ่าหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าสืบเชื้อสายมาจากเผ่า อานาซาซี่ ซึ่งเผ่านี้เคยครอบครองอาณาบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ ในระหว่าง ค.ศ.1 - ค.ศ.1300 เขาเคยอยู่แถบนี้มาอย่างน้อย 2,000 ปี นั่นหมายความว่า วัฒนธรรมการใช้ดินทำเป็นที่อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเริ่มกันมากอย่างน้อย 2,000 ปีแล้ว เรื่อยลงไปทางอเมริกาใต้ก็ยังมีคนทำบ้านดินกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในอดีตและ ปัจจุบัน

เป็น ที่น่าสังเกตว่าบ้านดินจะได้รับความนิยมแพร่หลายมาก โดยเฉพาะในเขตทะเลทราย ซึ่งมีแต่ความแห้งแล้วทุรกันดาน และอุณหภูมิก็เลยร้ายมาก คือร้อนจัดในเวลากลางวัน และหนาวจัดในเวลากลางคืน โดยเฉพาะฤดูหนาวจะหนาวจนมีหิมะลง ซึ่งสภาพเช่นนี้ถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือเชื้อเพลิงเพียงพอ มนุษย์คงอยู่ไม่ได้ แต่บ้านดินช่วยแก้ปัญหานี้ได้ด้วยผนังที่หนาและตันของบ้านดิน ซึ่งจะช่วยดูดซับความร้อนจากแสงแดดในเวลากลางวัน ทำให้ห้องภายในเย็นสบายทั้งวัน เพราะผนังหนาทำให้ความร้อนผ่านผนังบ้านได้ช้า กว่าความร้อนจะทะลุเข้าไปในห้องได้ก็ตกเวลาเย็นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศข้างนอกเริ่มเย็นลง จึงทำให้ห้องอบอุ่นสบาย อีกปัจจัยหนึ่งคือ ในเขตทะเลทรายหาวัสดุอื่นที่จะใช้ก่อสร้างได้ยากมาก ดังนั้นคนในทะเลทรายจึงต้องสร้างบ้านด้วยวัสดุที่พอจะหาได้ในท้องถิ่น ซึ่งนั่นก็คือดิน

ส่วนหลักฐานที่เกี่ยวกับบ้านดินที่เป็นลายลักษณ์ อักษรที่เก่าแก่ที่สุด คือ พระไตรปิฏก ซึ่งพระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้มากมายในพระวินัย ในหมวดของการสร้างเสนาสนะ เช่นพระองค์ทรงห้ามภิกษุสร้างกุฏิดินอยู่เอง หรือห้ามฉาบผนังด้วยดินเกิน 3 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งเหตุผลของการห้ามเหล่านี้คงเป็นเพราะ มีภิกษุบางรูปทำกุฏิดินอยู่เอง และตกแต่งให้สวยงามเกินไป หรือฉาบหลาย ๆ ครั้ง ก็เป็นการทำให้ละเอียดปราณีต

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทราย มาจากไหน

ทราย เป็นวัสดุหนึ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ ทั้งในการผสมคอนกรีต รวมไปถึงการทำบ้านดิน ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในผู้ใช้ประโยชน์จากทราย เราจึงควรที่จะต้องทราบที่มาของมัน กระบวนการผลิต และรับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเราในฐานะมนุษย์ที่ได้นำทรัพยากรธรรมชาติ ขึ้นมาใช้ด้วย


โดยปรกติแล้วทรายที่เราใช้ ได้มาจากแหล่งที่มา 2 แหล่ง คือ ทรายแม่น้ำ และทรายบก
ทราย แม่น้ำคือทรายที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ ซึ่งทรายละเอียดนั้นจะถูกกระแสน้ำพัดพามารวมกันอยู่ที่ท้ายน้ำ การนำขึ้นมานั้นจะใช้เรือดูด ดูดทรายขึ้นมาตามท่อแล้วทิ้งทรายลงบนตะแกรงของเรืออีกลำเพื่อแยกกรวดที่มี ขนาดใหญ่ออกก่อน เมื่อเรือมาถึงท่าก็จะเปิดท้องเรือเพื่อทิ้งทรายลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง (ถ้าท้องเรือไม่สามารถเปิดได้ก็จะต้องใช้สายพานลำเลียงลงแม่น้ำ) หลังจากนั้นก็จะใช้เรือดูดทรายอีกครั้งหนึ่ง โดยผ่านตะแกรงเพื่อคัดแยกทรายหยาบกับทรายละเอียด หลังจากนั้นจึงใช้สายพานลำเลียงขนทรายไปยังที่เก็บหรือกองไว้เพื่อรอขนส่ง ออกไป

ทราย บกคือ ทรายที่เกิดจากการตกตะกอนทับถมกันของลำน้ำเก่า ซึ่งเปลี่ยนเป็นดินโดยมีซากพืชซากสัตว์ทับถมเป็นหน้าดินซึ่งอาจอยู่ลึก ประมาณ 2 - 10 เมตร กระบวนการผลิตทรายบกแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ผลิตโดยใช้วิธีแบบดั้งเดิม โดยการเปิดหน้าดินด้วยรถตักดินจนถึงระดับน้ำใต้ดินจนมีสภาพเป็นแอ่งน้ำขนาด ใหญ่แล้วจึงนำเรือมาดูด หรือใช้รถตักทรายขึ้นมาผ่านตะแกรงเพื่อแยกกรวดออก

2. การใช้เครื่องจักรในการผลิตทราย โดยอาศัยการเปิดหน้าดินเหมือนวิธีแรก หลังจากนั้นจะผ่านขึ้นตอนและเครื่องจักรต่าง ๆ ได้แก่

= เรือดูดทราย ลำเลียงผ่านสายพานไปยัง Feedbox

= Feedbox อยู่ส่วนบนสุดของเครื่องจักร ทำหน้าที่คัดแยกหินและรากไม้

= ตะแกรงร่อน ทำหน้าที่คัดทรายขนาดใหญ่เกินไปทิ้งไปก่อน

= Classifying Tank รับทรายจากตะแกรงร่อนเพื่อทำหน้าที่คัดแยกขนาดและทำความสะอาดทราย โดยการใช้หลักการพัดพาของทรายที่ปนไปกับน้ำ โดยทรายขนาดใหญ่จะตกตะกอนเร็วกว่าทรายขนาดเล็ก มีทั้งหมด 11 สถานี ซึ่งแต่ละสถานีจะมีขนาดทรายที่แตกต่างกัน

= ระบบควบคุม ทำหน้าที่แยกและผสมทรายในขนาดต่าง ๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติทรายตามที่ต้องการ

= Screw Washer ทำหน้าที่ทำความสะอาดทรายอีกครั้งหนึ่ง และลดความชื้นของทรายละให้ได้ต่ำกว่า 20% หลังจากนั้นจึงส่งไปตามสายพานเพื่อนำไปกองไว้ใช้งานต่อไป

ความ แตกต่างระหว่างทั้งสองวิธีคือ วิธีแบบดั้งเดิมจะได้ทรายที่ไม่สะอาดนัก ไม่เหมาะจะนำไปใช้งาน แต่ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ ส่วนของการใช้เครื่องจักรนั้นจะทำให้ได้ทรายที่สะอาด และควบคุมคุณภาพทรายได้ซึ่งนอกจากจะผลิตทรายสำหรับผสมคอนกรีตแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องและกระจกได้ด้วย แต่เนื่องจากมีการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่และระบบที่ซับซ้อนจึงทำให้ทรายมี ราคาสูง

ผลกระทบจากการประกอบกิจการขุด ตัก และดูดทราย อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมด้านต่าง ๆ เช่น

1. ด้านอุทกวิทยาและคุณภาพน้ำ การขุด ตัก และดูดทราย ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำทั้งผิวดินและใต้ดิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำ ตลอดจนอาจส่งผลกับการใช้ประโยชน์ของชุมชนบริเวณใกล้เคียง

2. ด้านคุณภาพอากาศและเสียง การดูดทรายจำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์ที่ใช้ดูดและคัดแยกขนาดทราย ทำให้เกิดเสียงรบกวน ควันดำ และการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง

3. การพังทลายของดิน การดูดทรายแม่น้ำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลิ่งพังทลาย ส่วนการทำทรายบกนั้นมันจะเกิดผลกระทบต่อการชะล้างพังทลายและทรุดตัวของพื้น ดินในพื้นที่ใกล้เคียง

4. ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน และปัญหาทางด้านทัศนียภาพการประกอบกิจการทรายบกจำเป็นต้องเปิดหน้าดินออก ซึ่งเป็นการสูญเสียหน้าดินอย่างถาวร แม้กระทั่งหยุดการประกอบกิจการก็ยังก่อให้เกิดปัญหาบ่อทรายร้าง ไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินบริเวณนั้นได้อีก

5. ด้านคมนาคมขนส่ง การขนทรายส่งผลให้มีปริมาณการจราจรหนาแน่นขึ้น ถนนอาจชำรุดเสียหายเนื่องจากไม่สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้สูงขึ้น

6. ผลกระทบด้านสังคมต่อชุมชนรอบข้าง รวมไปถึงผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำตา มาจากไหน

โดยทั่วไปเรามักถือว่าน้ำตาเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ ความพ่ายแพ้ผิดหวัง เป็นความทุกข์ความเศร้าที่ไม่อยากพบอยากได้จึงไม่มีใครอยากจะคิดถึงรวมทั้ง หาคำตอบใดๆ เกี่ยวกับน้ำตาหรือการร้องไห้เลย แม้ว่าอาจเคยมีความสงสัยอยู่บ้าง ทำไมผู้หญิงจึงร้องไห้ง่ายกว่าผู้ชายหรือสงสัยว่าน้ำตานอกจากจะใช้ในการ ร้องไห้แล้วจะใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกหรือไม่


ที่จริงธรรมชาติสร้างน้ำตามาให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์หลายประการ ตั้งแต่มีน้ำตาไว้ทำความชุ่มชื้นแก่ดวงตา ช่วยป้องกันการอักเสบติดเชื้อของดวงตา ใช้ล้างสิ่งระคายเคืองออกจากตาใช้เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ความสงสารจากผู้พบเห็น ใช้เป็นเครื่องมือในการระบายเอาความทุกข์โศกออกไปจากจิตใจ นอกจากนี้น้ำตายังทำให้กวี และนักประพันธ์เพลงหลายยุคหลายสมัยได้ใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์วรรณกรรม ชิ้นเอกที่ประทับใจผู้คนไว้มากมาย นักชีวเคมีแห่งศูนย์วิจัยน้ำตา ชื่อ วิลเลี่ยม เฟรย์ ได้ให้ความสนใจและทำการศึกษาวิจัยเรื่องของน้ำตามาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ได้เขียนผลการวิจัยไว้น่าสนใจคือ การหลั่งน้ำตาของคนเรานั้นถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดความเข้มของน้ำตา และควบคุมปริมาณการขับถ่ายธาตุแมงกานีส รวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นขณะที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงออกไปจากร่างกายและพบว่าปริมาณ ของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในน้ำตานั้นมากกว่าที่มีในกระแสเลือดถึง 30 เท่า และได้อธิบายว่าการที่ผู้ร้องไห้จะสบายขึ้น เป็นเพราะว่าร่างกายได้ขจัดเอาสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไปจากร่างกายพร้อมน้ำตานั่นเอง ในการศึกษาของเฟรย์พบว่าผู้ชาย 73% และผู้หญิง 75% ที่กล่าวว่ารู้สึกสบายขึ้นหลังการร้องไห้

สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ในเรื่องส่วนประกอบทางเคมี ของน้ำตา ที่ หลั่งเนื่องจากสาเหตุที่แตกต่างกันพบว่าประกอบด้วยสารเคมีบางอย่างที่เหมือน กันและบางอย่างที่แตกต่างกัน ซึ่งได้มีการทดลองโดยใช้ชายหญิงจำนวนร้อยคนหลั่งน้ำตาด้วยสาเหตุที่แตกต่าง กัน 2 วิธีคือ วิธีแรกโดยการหั่นหัวหอมสดทำให้เกิดการระคายเคืองตา น้ำตาก็จะไหลออกมา กับอีกวิธีหนึ่งก็คือกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์โดยให้ดูภาพยนต์ 3 เรื่อง ที่ดูแล้วจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แล้วนำน้ำตาที่หลั่งเนื่องจากสาเหตุทั้งสองมาวิเคราะห์หาส่วนประกอบดูความ เหมือนและความแตกต่างพบว่าส่วนประกอบที่แตกต่างกันก็คือปริมาณของโปรตีนใน น้ำตา น้ำตาที่หลั่งเนื่องจากความรู้สึกสะเทือนอารมณ์จะมีโปรตีนสูงกว่าน้ำตาที่ หลั่งเนื่องจากการระคายเคืองตาถึง 24% และเราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือผู้ที่ร้องไห้มากสาเหตุจาก สะเทือนอารมณ์มักจะมีสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะร่างกายต้องสูญเสียโปรตีนสูงประกอบกับในภาวะดังกล่าวมัก จะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วยนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าน้ำตานั้นมิได้เป็นสิ่งที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์เอาเสีย เลยทีเดียวและการร้องไห้ก็ไม่น่าจะถือเป็นเรื่องเสียหายอะไรจนจำเป็นต้องใช้ ความพยายามในการสะกดกั้นหลีกเลี่ยง ในยามที่มีความทุกข์เราก็ควรจะร้องไห้เพื่อระบายความทุกข์นั้นออกไปเสียบ้าง แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะถนอมรักษาสุขภาพไว้บ้าง เพื่อเก็บแรงเก็บกำลังไว้คิดหาหนทางต่อสู้แก้ไขปัญหาที่มีอยู่ให้ลุล่วงไป โดยเร็วน่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า

การร้องไห้ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นคนอ่อนแอเสมอไป เพราะการร้องไห้ออกมาถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ระบายความทุกข์ให้กับเรา แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้นก็เหอะ การร้องไห้บ่อยเกินไปอาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้เป็นคนที่อ่อนแอก็เป็นได้

เรื่องเล่าจากหญิงชรา
วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัวและบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาจับบ่าของผมผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า "สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ"
ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า "แน่นอน ได้สิครับ " แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า "ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. "
เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า "ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสาม คน
ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า "ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ " ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียน
ที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
"ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน"
หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรา
กลายเป็นเพื่อนกันในทันที

ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาด
ใจเสมอเมื่อได้ฟัง "ยานเวลา" ลำนี้
แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่
ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ

และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา ... พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า
แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า

"ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว
แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉัน
มาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน"
พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า
"พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุข

และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยัง
เดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆ

ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
3) การที่คุณ "แก่ขึ้น" กับ "เติบโตขึ้น" นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ
ปีหนึ่ง

และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
ประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะ
เสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่ "
เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง "The Rose" อย่างกล้าหาญ
และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา ใช้กับชีวิต
ประจำวันของพวกเรา
เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย

นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า .......ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุก
สิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

จงจำไว้ว่า
"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"

เพราะชีวิตนับหนึ่งได้เสมอ


บางช่วงเวลาของชีวิต เคยรู้สึกบ้างไหมว่า "ตัวเองกำลังประสบกับความล้มเหลว" ถ้าเคย ... ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้ามีคำว่า"ความสำเร็จ" ก็ต้องมีคำว่า "ล้มเหลว" เป็นของคู่กัน เพียงแต่ว่าคุณจะต้องรับกับสถานการณ์ความล้มเหลวแล้วลุกขึ้นสู้ อีกครั้งได้อย่างไร? ชีวิตนับหนึ่งได้ และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ โดยยึดหลักง่าย ๆ ไว้เตือนใจตัวเองว่า....

1.ทำดีที่สุดแล้ว

คน ที่ไม่เคยล้มเหลวคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย คนที่ประสบความล้มเหลว คือคนที่น่ายกย่องมากกว่า เพราะอย่างน้อยก็ได้ลงมือทำ อย่ากลัวกับ ความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้น เพราะมันจะเป็นบทเรียนและประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ ให้เราได้เรียนรู้ว่า หนทางแห่งความสำเร็จอยู่ตรงไหน ... อย่างไร? ให้คิดเสียว่า ... "เราทำดีที่สุดแล้ว"


2.อย่ายอมแพ้

ไม่ มีใครจะแพ้ตลอด และไม่มีใครจะเป็นผู้ชนะตลอดกาลฉะนั้น จงอย่ายอมแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแพ้ใจตัวเอง ทุกครั้งที่คุณหกล้มหรือก้าวพลาด จงอย่า ยอมแพ้ ให้ลุกขึ้นสู้และก้าวเดินต่อไปอย่างสง่างามอีกครั้ง แพ้อะไรก็แพ้ได้แต่ อย่าแพ้ใจตัวเองก็แล้วกัน เพราะถ้าเราแพ้ใจตัวเอง นั้นหมายถึงเราโดนน๊อคตั้งแต่ ยังไม่เริ่มชกแล้ว จงบอกกับตัวเองว่า หนทางแห่งชัยชนะยังรอคุณอยู่ข้างหน้า ค่อย ๆ ตั้งสติ คิดอย่างมีสติ และรอบคอบ แล้วลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง


3. นับหนึ่งถึงร้อย

ทุก ครั้งที่ท้อถอย หรือหมดกำลังใจ ก่อนจะเดินถอยหนี หยุดคิดสักนิด ลองนับ หนึ่งถึงร้อยก่อน อย่าตัดปัญหาด้วยการทิ้งปัญหา และหันหลังเดินจากไป นั่นไม่ใช่ วิธีการแก้ปัญหาที่ดี เพราะปัญหามันยังคงหมักหมมอยู่ตรงนั้น จงบอกกับตัวเอง ให้อดทน..อดทน...และอดทน รอวันเวลาและโอกาสที่จะมาถึง แล้วค่อย ๆ เดิน หน้าสู้ต่อไป


4. เหนื่อยนักก็พักก่อน

วันนี้ อาจจะเหนื่อย และท้อแท้กับปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีอย่าง หนึ่งที่คอยเตือนให้เรารู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องหยุดพักเสียบ้าง หยุดพักเพื่อที่จะทบทวนกับปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หยุดพักเพื่อถอยออกมา หนึ่งก้าว แล้วมองย้อนไปมองดูปัญหาในอีกมุมหนึ่ง บางที่อาจทำให้เรามองเห็น ปัญหาในมุมที่กว้างขึ้น การหยุดพักไม่ได้หมายถึงการทำให้เราต้องยอมแพ้ หรือถอยหลัง แต่การหยุด พักจะทำให้เราได้ชาร์ทแบตเตอรี่ หรือเติมกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น และมีเรียวแรง ที่จะสู้กับปัญหาต่อไป


5. หยุดคิดเพื่อทบทวน

การ หยุดคิดเพื่อทบทวนจะทำให้เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้น เพราะบางทีการหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ อาจทำให้เรามองไม่เห็นปัญหา หรือวนอยู่กับปัญหานั้นซ้ำ ๆ ซาก ๆ และถึงทางตันจนหาทางออกไมเจอ อย่าลืมว่าในมุมมืดที่สุดก็ต้องมีมุมสว่างเล็ดลอดอยู่บ้าง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทบทวน แล้วเราจะค้นพบทางสว่างและหาทางออกเจอในที่สุด บางทีทางออกใหม่จะดีกว่าทางเดิมที่เราเคยเดินมาเสียอีก

6. โอกาสต้องเป็นของคุณ

วันนี้ ... เวลานี้ โอกาสอาจยังไม่เป็นของเรา แต่วันข้างหน้าโอกาสต้องเป็นของ เราไม่ช้าก็เร็ว อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีเวลาอย่าเพียงพอที่จะเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์ ความเชื่อมั่น และพลังใจที่จะฝ่าฟันอุปสรรคให้ประสบความสำเร็จ ได้ต่อไป


7. ต้องชนะ

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะแพ้ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะชนะด้วย ชัยชนะอาจไม่ได้มาง่าย ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะแพ้ตลอดไป "อย่ากลัวที่จะแพ้ และอย่าประมาท กับชัยชนะที่จะมาถึง" จง เรียนรู้จากบทเรียนของความพ่ายแพ้ และนำสิ่งนั้นมาเป็นหนทางสู้ต่อเพื่อให้ได้ มาซึ่งชัยชนะ เมื่อเราเคยแพ้ เรายิ่อมรู้ดีว่าวิธีที่จะนำมาซึ่งชัยชนะนั้นต้องทำ อย่างไร? จงบอกกับตัวเองว่า เราจะต้องเป็นผู้ชนะให้ได้

8. กล้าที่จะฝัน

คน ที่ไม่เคยมีความฝันคือคนที่ตายแล้ว ไม่ผิดที่ทุกคนจะฝัน เพราะมนุษย์ทุกคน ย่อมมีความฝัน และฝันของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป จงกล้าที่จะฝัน และทำสิ่งที่ท้าทายความฝันนั้น แต่อย่าทะเยอทะยานจนเกินความ เป็นจริง จงก้าวทีละขั้น ก้าวช้า ๆ ก้าวอย่ามั่นใจ เพื่อทำให้ทุกความฝันของเรา เป็นจริง

9. คิดและวางแผน

จะ ถูกบ้างผิดบ้างก็ไม่เป็นไร แต่จงคิดและวางแผนของเราเสียแต่วันนี้บางทีความ คิดของเราอาจจะเข้าทางใครสักคน หรือเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ อย่าดูถูกความคิดของ ตัวเอง อย่าคิดว่าความคิดของเราเป็นเรื่องประหลาด บางทีความคิดประหลาดอาจ เป็นความคิดที่เข้าท่าก็ได้ อย่าลืมว่า ความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในโลกมามากแล้ว ลองคิดดัง ๆ แล้วบอกความคิดของเราให้คนรอบข้างได้รู้บ้าง บางทีความคิดดี ๆ ของเราอาจจะเป็นของขวัญชิ้นโบว์แดงสำหรับโลกก็ได้ ใครจะรู้
10. ไปให้ถึงเป้าหมาย

มนุษย์ ทุกคนต่างก็มุ่งไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ ข้างหน้าด้วยกันทั้งนั้น จะไป ได้ช้าหรือเร็วนั้น อยู่ที่วิธีการและแนวทางของแต่ละคน กว่าจะถึงภูเขาที่สูงชันย่อมต้องเจอกับขวากหนามที่แหลมคม สติและสมาธีที่ มุ่งมั่นเท่านั้นที่จะทำให้เราเดินผ่านขวากหนามได้ ผู้ฉลาดเท่านั้นย่อมเรียนรู้ที่จะใช้ข้อผิดพลาดนั้นให้เป็นประโยชน์ และผู้ที่อดทน เท่านั้นที่จะก้าวไปสู่ยอดเขาอันสูงชันได้ ยอดเขาสูงชัน ... ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เราจะไม่เหน็บหนาวเพียงลำพัง ถ้าเราไม่ ลืมว่าบรรยากาศบนพื้นดินที่เคยเดินผ่านมานั้นเป็นอย่างไร

ให้โอกาสและกำลังใจกับตัวเอง และจงบอกกับตัวเองเสมอว่า...ชีวิตนับหนึ่งได้เสมอ

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พริก มาจากไหน

พริก มาจากไหน



เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าแทนจริงแล้ว พริกที่ใช้กิน ใช้ปลูกกันอยู่ทุกวันนี้ มาจากไหนกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณได้รู้ได้อ่านกันค่ะ

คนไทยรู้จักปลูกพริก และมีวิธีบริโภคพริกหลายรูปแบบ ทั้งในลักษณะสด แห้ง ดอง เผา และแกง และมักแบ่งพริกออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เผ็ดมาก ซึ่งได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูไทย และพริกเหลือง กับกลุ่มที่เผ็ดน้อย ซึ่งได้แก่ พริกหยวก พริกชี้ฟ้า และพริกฝรั่ง

ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับพริกดีเสียจนทำให้คิดไปว่า พริกเป็นพืชพื้นเมือง แต่นักประวัติพฤกษศาสตร์ได้พบว่า ถิ่นกำเนิดของพริกคือ ทวีปอเมริกากลาง และใต้ และจากที่นั่นนักผจญภัยก็ได้นำพริกมาปลูกเผยแพร่ในยุโรปแล้วจากยุโรปพริกก็ ถูกนำไปปลูกกันแพร่หลายทั่วโลก

หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า ชาวอินเดียนใน Mexico รู้จักบริโภคพริกเป็นอาหารมานานร่วม 9,000 ปีแล้ว เพราะอุจจาระที่เป็นก้อนแข็งที่พบที่เมือง Huaca Prieta มีซากเมล็ดพริกที่มีอายุประมาณ 9,000 ปี การศึกษาวิถีชีวิตของชนเผ่า Olmec, Toltec และ Aztec ต่าง ก็แสดงให้รู้ว่า ชาวอินเดียนเหล่านี้รู้จักปลูกและบริโภคพริกเช่นกัน นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ยังได้ขุดพบซากของต้นพริกที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ในเทวสถานของเปรูด้วย หรือแม้แต่ลายปักเสื้อผ้าของคนอินเดียนที่อาศัยอยู่ในเปรู เมื่อ 1,900 ปีก่อน ก็มีลวดลายปักเป็นต้นพริก

ในปี 2036 นักประวัติศาสตร์ชื่อ Peter Martyr ได้รายงานว่า พริกแดงที่ Columbus นำมาจากอเมริกามีรสเผ็ด และแพทย์ที่ติดตาม Columbus ไปอเมริกาเป็นครั้งที่สองในปี 2037 ก็ได้กล่าวถึงชาวอินเดียนว่า นิยมปรุงอาหารด้วยพริก และเมื่อกองทัพสเปนบุกอาณาจักร Aztec นายพล Cortez ได้เขียนจดหมายเล่าว่า กษัตริย์ Aztec ทรงโปรดเสวยพระสุคนธรสที่มีพริกปน

คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของพริกคือ มีรสเผ็ด และการมีคุณสมบัติที่ดุเดือดรุนแรงนี้เองที่ทำให้ชาวอินเดียนนิยมใช้พริก ทรมานเชลยหรือศัตรู เช่น เผาพริกปริมาณมากให้ควันพริกขับไล่ทหารสเปน ส่วนชาว Maya ก็มีประเพณีว่า ผู้หญิง Maya คนใดเวลาถูกจับได้ว่าแอบดูผู้ชาย จะถูกพริกขยี้ที่ตา และบิดามารดาของผู้หญิง Maya คนใดถ้ารู้ว่า บุตรสาวของตนเสียพรหมจรรย์อย่างผิดประเพณี "บริเวณลับ" ของเธอจะถูกละเลงด้วยพริก สำหรับชาวอินเดียนเผ่า Carib ใน Antilles นั้น ก็นิยมใช้พริกทาบาดแผลของเด็กผู้ชายเพื่อฝึกให้อดทน และเวลาจับเชลยได้ ชาวอินเดียนเผ่านี้ก็จะใช้ไฟจี้ตามตัวจนเป็นแผลพุพองแล้วเอาพริกทา และเมื่อเชลยเสียชีวิตลงเนื้อของเชลยก็จะถูกแล่เอาไปปรุงด้วยพริกเป็นอาหาร เป็นต้น

นักประวัติศาสตร์ชื่อ Francisco Hernandez ซึ่งเป็นแพทย์ในกษัตริย์ Philip ที่ 2 แห่งสเปน และได้เคยถูกส่งตัวไปศึกษาธรรมชาติของพืชและสัตว์ในดินแดนใหม่ (อเมริกา) ก็ได้รายงานกลับมาว่า ชาวอินเดียนนิยมปลูกพริกมาก ส่วน P. Bernabe Cobo ผู้ใช้เวลาสำรวจอเมริกานาน 50 ปี ในศตวรรษที่ 20-21 ก็ได้รายงานทำนองเดียวกันว่า ชาวอินเดียนในเม็กซิโกนิยมปลูกพริก โดยได้เขียนลงในหนังสือ Historia ว่า ชาวอินเดียนถือว่าพริกเป็นพืชที่สำคัญรองจากข้าวโพด เพราะชอบบริโภคพริกสด และใช้พริกในพิธีสักการะบูชาเทพเจ้าทุกงาน แต่เมื่อถึงเทศกาลอดอาหาร คนอินเดียนเหล่านี้จะไม่บริโภคอาหารที่มีพริกปนเลย Cobo ยังกล่าวเสริมว่า ไม่เพียงแต่ผลพริกเท่านั้นที่เป็นอาหาร แม้แต่ใบพริกก็ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ด้วย และสำหรับ Garcilaso de la Vega ผู้ เป็นบุตรของขุนนางสเปนนั้น ก็ได้เล่าว่า ชาวอินคาถือว่าพริกเป็นผลไม้ที่มีคุณค่ามาก เพราะอาหารอินคาจะมีพริกปนไม่มากก็น้อย นอกจากนี้หมอชาวบ้านของชนเผ่านี้ก็มีความรู้อีกว่า ใครก็ตามที่บริโภคพริกในปริมาณที่พอดี ระบบขับถ่ายของคนคนนั้นจะทำงานปกติ แต่ถ้าบริโภคมากเกินไป กระเพาะจะเป็นอันตราย Alexander von Humboldt นัก ปราชญ์ชาวเยอรมันก็เป็นบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ได้เดินทางไปสำรวจทวีปอเมริกา เป็นเวลานานหลายปี และได้เปรียบเทียบความสำคัญของพริกว่าคนยุโรปถือว่า เกลือมีความสำคัญต่อชีวิตเพียงใด คนอินเดียนก็ถือว่าพริกมีความสำคัญต่อเขาเพียงนั้น

การศึกษาประวัติการเดินทางของพริกจากทวีปอเมริกาสู่โลกภายนอก ทำให้เรารู้ว่า Alvarez Chanca ชาวสเปนเป็นบุคคลแรกที่นำพริกสู่ประเทศตน ในปี 2036 และคนสเปนเรียกพริกว่า Chili ซึ่งเป็นคำที่แปลงมาจากคำ Chile อันเป็นชื่อของประเทศที่ให้กำเนิดพริกในอเมริกาใต้ และอีก 55 ปีต่อมา ชาวอังกฤษก็เริ่มรู้จักพริก เมื่อถึงปี 2098 บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปกลางก็เริ่มรู้จักปลูกพริกกันแล้ว และเมื่อถึงปี 2300 พ่อค้าชาวโปรตุเกสก็ได้นำพริกจากยุโรปไปปลูกในอินเดีย และเอเชียอาคเนย์

นักชีววิทยาจัดพริกอยู่ในวงศ์ Solanaceae ซึ่งเป็นวงศ์ของมะเขือเทศ มันฝรั่ง และยาสูบ และให้พริกอยู่ในสกุล Capsicum ซึ่งมาจากคำว่า Kapto ที่แปลว่า กัดกร่อน แต่นักภาษาศาสตร์บางคนคิดว่า รากศัพท์ที่แท้จริงของคำคำนี้คือ capsa ซึ่งแปลว่า กล่อง ถึงความคิดเห็นเรื่องที่มาของชื่อจะแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ยอมรับในประเด็นเดียวกันว่า พริกมีรสเผ็ด แม้แต่ชาว Maya ก็เรียกพริกว่า Huuyub ซึ่ง แปลว่า สูดปาก หลังจากที่ได้กินพริกเข้าไป การศึกษาคุณสมบัติด้านเภสัชวิทยาของพริก ทำให้เรารู้ว่าแพทย์ในอดีตเคยใช้พริกเป็นยารักษานานาโรค เช่น โรคบวม เสียดท้อง ปวดท้อง อาเจียน อหิวาต์ อาหารไม่ย่อย ปวดหัว ปวดประสาท ปวดตามข้อ ท้องร่วง กระเพาะอักเสบ แก้เมาคลื่น โรคหวัด ลดน้ำมูก ป้องกันการติดเชื้อ ลดอาการไขมันอุดตันของเส้นเลือด ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง บรรเทาอาการปวด ทำให้มีอารมณ์ดี และใช้เป็นยาไล่แมลงก็ยังได้ด้วย

ส่วนนักโภชนาการได้พบว่า พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู และพริกหวานต่างก็มีวิตามิน C เช่น ในเนื้อพริก 100 กรัม จะมีวิตามิน C ตั้งแต่ 87-90 มิลลิกรัม และมี betacarotene (หรือวิตามิน A) ซึ่งช่วยให้สายตาดีด้วย

นักชีวเคมีได้วิเคราะห์พบว่า รสเผ็ดของพริกเกิดจากสาร capsicin ที่แฝงอยู่ในบริเวณรก (placenta) ของผล แต่ไม่อยู่ในเนื้อและเปลือกพริก การวิเคราะห์โครงสร้างเคมีของ capsicin ทำให้รู้ว่ามันมีชื่อ 8-methyl-n-vanillyl-6-noneamide ซึ่งมีสูตร C18 H23 NO3 มีน้ำหนักโมเลกุล 305.46 มีจุดหลอมเหลว 65 องศา เซลเซียส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ละลายน้ำได้เล็กน้อย และละลายในไขมัน น้ำมัน และแอลกอฮอล์ได้ดี นอกจากนี้มันยังมีสมบัติทนความร้อน ความเย็นได้ดีด้วย ดังนั้น การต้มหรือการแช่แข็งจะไม่ทำให้พริกเผ็ดน้อยลงหรือมากขึ้นแต่อย่างใด และถ้าต้องการจะแก้รสเผ็ด ผู้สันทัดกรณีแนะนำว่า น้ำหรือเบียร์ก็พอช่วยได้บ้าง แต่ถ้าจะให้ดีให้กินอาหารที่มีไขมัน หรือเครื่องดื่มที่มี ethonol มาก ก็จะช่วยได้ดีขึ้น และถ้าพริกมีรสขม นั่นก็เพราะคนกินได้เคี้ยวเมล็ดพริกครั

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความคิด มาจากไหน

ความคิดของคนเรา มาจากไหนกันแน่เกิดจากจิตใต้สำนึกที่เราคิดหรืออะไรมีอะไรบางสิ่งส่งผลมาให้เราคิด วันนี้เรามีมาฝากกันค่ะไขเกี่ยวกับ ความคิด มาจากไหน


ความคิดทำให้เกิดอะไรหลายอย่างบนโลกใบนี้ สัญชาตญาน อาจทำให้ชีวิตดำเนินไปตามพื้นฐานของการมีชีวิต กิน อยู่ หลับ นอน สืบพันธ์ แต่เพราะความคิดกระมัง ที่เป็นจุดเริ่มต้น ให้สัญชาติญานธรรมดาของการดำรงชีวิต ซับซ้อนขึ้น ปรุงแต่งมากขึ้น แตกหน่อ ขยายออกเป็นสิ่งที่เรียกว่า "วิวัฒนาการ" จากมนุษย์ถ้ำ สู่ ยุคข้อมูลข่าวสาร

ความคิด มาจากไหน? ความคิด ปรุงแต่งขึ้นอย่างไร?

จริงๆมีศาสตร์ที่เขียนไว้มากมาย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผิด หรือ ถูก เพราะความคิดอีก นั่นแหละ กระบวนการทำงานของความคิด กระบวนการตรวจสอบความคิด กระบวนการพิสูจน์ความถูกต้องของความคิด คุณภาพของความคิด ล้วนเป็นเรื่องที่หาคำตอบได้ แต่ยากสำหรับการยอมรับ ซึ่งสิ่งที่จะตัดสินว่าความคิดนั้น ถูกทางหรือผิดทาง มีอยู่...

การคิด เป็นอาการของความคิด ความคิด เป็นผลลัพธ์ของการคิด กระบวนการของการคิด หล่อเลี้ยงด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่คิดว่าโดยหลักๆสำคัญคือ จิต ประสบการณ์ ประสิทธิภาพของสมอง

จิต เป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่ขีดจำกัด เท่ากับที่ปรุงแต่งไปได้อย่างไร้ขอบเขต ตราบใดที่ไม่รู้จักการควบคุม บนเส้นทางของชีวิต ไม่ว่าจะผ่านอะไรในทุกวินาที สมองอาจจะลืมบันทึก แต่ จิต ไม่เคยหยุดพักการบันทึก ประดุจทรายที่ดูราวจะปล่อยผ่านกระแสน้ำให้ล่วงเลยไปอย่างไร้ร่องรอย แต่แท้จริงแล้ว น้ำเหล่านั้นไม่ได้ไปไหน หากแต่จมตัวลงไปสู่ส่วนที่ลึกกว่า ในทางวิทยาศาสตร์ อาจเรียกมันว่า จิตไร้สำนึก

ข้อมูลของจิต ที่ได้รับการ"ฝึก" มักมีการจัดวาง เป็นระเบียบ หาข้อมูลได้ง่าย หยุดยั้งได้เร็ว เข้มแข็ง และส่งพลังสะอาด ไปสู่ความคิด ในทางตรงกันข้าม จิตที่ขาดการฝึก มักสับสน วุ่นวาย ข้อมูลของสิ่งที่สำนึกได้กับสิ่งไร้สำนึก ปนเปจนยากจะเข้าถึง แม้กับตัวเอง เมื่อจิตลักษณะนี้เข้าสู่กระบวนการความคิด ย่อมส่งผลให้เกิด ความบกพร่องได้ง่ายกว่า

การฝึก จิต เพื่อเป็นฐานความคิดที่สมบูรณ์ นั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย แต่ทุกอย่างอยู่บนเส้นทางของการกระทำ หรือการปฏิบัติทั้งสิ้น อาทิ การให้ ผู้ให้ย่อมเป็นสุข คงไม่มีทางเข้าใจคำนี้ ถ้าไม่บังเอิญมีลูกเป็นของตัวเอง , เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก คงไม่มีทางเข้าใจคำนี้ ถ้าไม่บังเอิญรถยางแตกบนถนนเปลี่ยว แล้วมีชาวบ้านที่ไม่รู้จักกันมาช่วยเปลี่ยนยาง ฯลฯ

ทุกอย่างลงสู่การบันทึกของจิต

ประสพการณ์ ทุกอย่างก็คือประสพการณ์ ชีวิตคือประสพการณ์ ที่มีคำว่าเวลา เป็น กลไกขับเคลื่อน การได้รับการเลี้ยงดู การไม่ได้รับการเลี้ยงดู การเรียน การไม่ได้เรียน การอ่าน การไม่ได้อ่าน การฟัง การไม่ได้ฟัง ฯลฯ ล้วนเป็นประสพการณ์

ทุกวินาทีที่ผ่านไป คือประสพการณ์. ประสพการณ์ กับ เวลา จึงเป็นของคู่กันเสมอ การศึกษา การเรียน การอ่าน การฟัง เป็นประสพการณ์ ในเชิงความคิด ในขณะที่ การเขียน การทำ การพูด ฯลฯ เป็นประสพการณ์ของการทำความคิดให้ปรากฏเป็นรูปธรรม

ถ้าจะหาข้อบกพร่องของความคิด. การทำ การปฏิบัติ เท่านั้นที่สะท้อนภาพได้ชัดเจน และ เป็นจริง เมื่อเรามองภาพมุมสูง จากหอคอยสูงตระหง่าน อาจสะท้อนภาพได้กว้างไกล แต่เสียงของลมหายใจ และกลิ่นไอชีวิต สัมผัสได้จากระยะใกล้เท่านั้น คนที่เคยได้ยินเสียงลมหายใจหนักหน่วงของควายที่กำลังไถนา สัมผัสพื้นดินหนึบติดเท้าขณะไถพรวน เมื่อกลับไปยืนบนหอคอย ย่อมเข้าใจได้ดีว่า ภาพสวยยามเย็น เห็นคนกับควายที่ชายทุ่งนั้น...คืออะไร

ประสิทธิภาพของสมอง เป็น สรีระที่ติดมาแต่กำเนิด เหมือนเครื่องยนตร์ที่มีกำลังไม่เท่ากัน ความสามารถในการทำงานของสมองแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังผลให้กระบวนการคิด ทำงานได้ไม่เท่ากัน แต่ด้วยการฝึกจิต และประสพการณ์ มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสมองได้

กระบวนการความคิดจากสมองที่มีระดับสติปัญญาเท่ากัน จึงสามารถให้คุณภาพได้ต่างกัน หากกระบวนการทางจิต และ ประสพการณ์ มาจากเส้นทางที่ต่างกัน แน่นอน ใครที่มีครบองค์ประกอบได้ทั้งสามประการ ย่อมเป็นผู้เลิศด้วยความคิดได้

เพียงแต่..ความคิดไม่ใช่ความจริง

ความคิดเป็นเพียงกระบวนการที่แปรสภาพมาจากสัญชาตญาน และกิเลส. ความหิว ความกลัว ความต้องการ ความอยาก ทั้งในทางดีและเลว เชื้อเหล่านี้แฝงอยู่ในความคิด ซึ่งมีที่มาจาก จิต ประสพการณ์ ประสิทธิภาพของสมอง ความคิด จะแสดงพิษสง หรือ ประโยชน์ของมันออกมาได้ ก็ต่อเมื่อลงมือปฏิบัติเท่านั้น

การเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ สังคม ชีวิตเล็กในครอบครัวเดียว ไปจนถึงสังคมโลก เคยเป็นมาเช่นไร เป็นอยู่อย่างไร และจะเป็นไปเช่นไร จึงขึ้นอยู่กับการแปรความคิดเป็นรูปธรรม. ขึ้นอยู่กับที่มาของความคิด คือ จิต ประสพการณ์ ประสิทธิภาพของสมอง

เรา จะสร้างจิตของเรา จิตของสังคมอย่างไร. เราจะสร้างประสพการณ์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมของเรา ของสังคมอย่างไร. เราจะสร้างประสิทธิภาพของสมองของเรา ของสังคมของเราอย่างไร.

ตรงนี้กระมัง คือความหมายของพัฒนา ให้สมกับความหมายที่แท้จริงของการพัฒนะ